การใช้ผลิตภัณฑ์
อาหารเสริม สมุนไพร หรือวิตามิน เกลือแร่ อย่างแพร่หลาย. Eisenberg และคณะ3 พบว่าในทุกๆ 3 คนที่สัมภาษณ์จะพบอย่างน้อย 1 คน ที่กินอาหารเสริมอย่างน้อย 1 ชนิด ไม่เฉพาะแต่ในผู้ใหญ่. รายงานของ Ball และคณะ6 ที่ศึกษาการใช้อาหารเสริมในเด็กที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น หอบหืด เบาหวาน ลมชัก โรคทางระบบข้อและกระดูก หรือโรคมะเร็ง พบว่ามีการใช้อาหารเสริมมากถึงร้อยละ 61.6 และเด็กที่ป่วยมีโอกาสจะได้รับอาหารเสริม 1.4 เท่าตัวถ้าผู้ปกครองของเด็กมีประวัติเคยกินอาหารเสริม เหตุผลส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่กิน
อาหารเสริมหรือสมุนไพรเกิดจากการโฆษณาคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ผ่านทางสื่อต่างๆ และการส่งเสริมการใช้สมุนไพรพื้นบ้านเพื่อการรักษา ทำให้เกิดความเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำมาหรือสกัดมาจากธรรมชาติ ได้ประสิทธิภาพดี (บางชนิดสรรพคุณที่โฆษณาดีกว่ายาแผนปัจจุบันมาก) และที่สำคัญคือ ปราศจากผลข้างเคียง. จากข้อมูลข้างต้นเราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ป่วยที่เราดูแลอยู่มีจำนวนไม่น้อยที่กิน
อาหารเสริมหรือสมุนไพรนอกเหนือจากยาที่ได้รับจากแพทย์ผู้ดูแล ประเด็นที่ต้องพิจารณาในผู้ป่วยที่กินอาหารเสริม หรือสมุนไพรร่วมกับยาแผนปัจจุบัน คือ คุณสมบัติของส่วนประกอบภายในอาหารเสริมหรือสมุนไพรชนิดนั้นๆ สารปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นและปฏิกิริยากับยาแผนปัจจุบันที่กินร่วมด้วย. อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าอาหารเสริมหรือสมุนไพรจะไม่มีประโยชน์ ตัวอย่างการศึกษาผลของ
อาหารเสริม สมุนไพร ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (systemic review)13 พบว่ามีผลิตภัณฑ์หลายชนิดสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดและสามารถลดระดับ HbA1C ได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น ว่านหางจรเข้ (เป็นการศึกษาในประเทศไทย) โสม หรือกระเทียม และ American Diabetes Association แนะนำให้ทำการศึกษาต่อไปในระยะยาว. การเปิดใจยอมรับข้อมูลทั้ง 2 ด้านของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงติดตามรายงาน product-drug interaction จะช่วยให้เข้าใจผู้ป่วยและทำให้การใช้อาหารเสริมหรือ สมุนไพรต่างๆ เกิดประโยชน์สูงสุดและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด.ขอบคุณบทความจาก
https://www.karatbarsaec.com/