รับทำSEOราคาถูก รับโปรโมทเว็บราคาถูก รับโพสเว็บราคาถูก รับจ้างโฆษณาสินค้าราคาถูก

อุปกรณ์ออกบูธ

รับทำseoราคาถูก, รับดันอันดับเว็บ, รับโปรโมทเว็บราคาถูก รับติดแบนเนอร์ รับติดตั้งตาข่ายกันนก รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์

รับติดแบนเนอร์ ตอกเสาเข็ม, ขายเสาเข็ม, ขายแผ่นพื้น, ปั้นจั่น, รับผลิตเสาเข็ม รับติดแบนเนอร์ ไนโตรเจนเหลว รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์

รับทำseoราคาถูก, รับโปรโมทเว็บไซต์, รับดันอันดับเว็บไซต์, รับทำเว็บไซต์, ออกแบบเว็บไซต์ราคาถูก, รับประกันติดgoogle

**ประกาศ!! เนื่องจากต้นทุนค่าโฮสติ้งสูงขึ้นมาก รบกวนสมาชิกใหม่(สมัครใหม่จะยังไม่อนุมัติ จนกว่าจะโอน) และเก่า(ทุกUserจะโดนลบ หากไม่โอนช่วย) โอนช่วยค่าโฮส ปีละ 200 บาท ด้วยนะครับ ติดต่อ Add Line : @posthitz

ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรพิกัดเกสรมี เเละรวมทั้ง สมุนไพรอื่นๆ  (อ่าน 187 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

praiprai9989

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 25
    • ดูรายละเอียด

Permalink: สมุนไพรพิกัดเกสรมี เเละรวมทั้ง สมุนไพรอื่นๆ

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรพิกัดเกสร[/url][/size][/b]
คำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น มีความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ อาจหมายความว่าส่วนประกอบที่ใช้แพร่พันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งจัดแสดงอยู่ในวงของดอก เป็นเกสรผู้และก็เกสรเพศเมีย ตามลำดับจากนอกถึงในสุดทาง ต่อจากนั้นออกมาจะเป็นกลีบดอกและกลีบเลี้ยงตามลำดับ แต่ว่าในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ดังเช่นว่า เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้ทั้งยังดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ แล้วก็เกสรเพศเมีย) (อาทิเช่น ดอกกระดังงา ดอกมะลิ เป็นต้น) หรือบางทีอาจเป็นช่อดอกอีกทั้งช่อ (อย่างเช่น ดอกลำเจียก )พิกัดเกสรที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัดเป็นพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ พิกัดเกสร ๗ แล้วก็พิกัดเกสรทั้ง ๙ พิกัดเกสรทั้งยัง ๕ อาทิเช่น เกสรบัวหลวง เกสรบุนนาค ดอกพิกุล ดอกมะลิ แล้วก็ดอกสารภี มีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดรวมทั้งเลือด แก้ไข้เพ้อกังวล แก้ลมวิงเวียน แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงท้อง เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากมายในยาแก้ลมเวียนหัว ยาหอมบำรุงหัวใจ พิกัดเกสรอีกทั้ง ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ในพิกัดเกสรทั้งยัง ๕  โดยมีดอกจำปา แล้วก็ดอกกระดังงา เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณโดยรวมชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดแล้วก็เลือด แก้ไข้เพพ้อกลุ้ม แก้ลมตาลาย แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในหิวน้ำ แก้โรคตาพิกัดเกสรทั้ง ๙ มีตัวยา ๗ อย่างในพิกัดเกสรทั้งยัง ๗ โดยมีดอกลำเจียก แล้วก็ดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา
                   
ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสร
เครื่องยา                ชื่อพฤกษศาสตร์ของที่มา ตระกูล   ส่วนของพืช
เกสรบัวหลวง        Nelumbo nucifera Gaertn.           Nelumbonaceae      เกสรเพศผู้
ดอกบุนนาค           Mesua ferrea L.                Guttiferae           อีกทั้งดอก
ดอกพิกุล                Mimusops elengi L.         Sapotaceae        ทั้งดอก
ดอกมะลิ                Jasminum sambac Ait.   Oleaceae             ทั้งยังดอก
ดอกสารภี              Mamea siamensis (T.and) Kosterm.        Guttiferae           ทั้งยังดอก
ดอกจำปา              Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.)        Magnoliaceae       ทั้งยังดอก
ดอกกระดังงา        Cananga  odorata Hook.f. & Th. Annonaceae      ดอก
ดอกลำเจียก          Pandanus odoratissimus L.f         Pandanaceae     ช่อดอกทั้งช่อ
ดอกลำดวน           Melodorum fruiticosum Lour.    Annonaceae      ดอก
เกสรบัวหลวง
เกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงจำพวกดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบุณฑริก) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท นิลุบล ฯลฯ) บัวหลวงเป็นบัวน้ำประเภทก้านแข็ง (อุบลชาติ) มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในสกุล Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า มีกลิ่นหอมหวน รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรเจ็ดและเกสรอีกทั้ง ๙
ดอกบุนนาค
ดอกบุนนาค ได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในวงศ์ Guttiferae พืชชนิดนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนน้อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลคละเคล้าเทาแล้วก็คละเคล้าแดง มีรอยแตกตื้นๆภายในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานปนใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ ซม. ยาว ๔-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ข้างบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีรอยเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบครึ้ม ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มม. ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองแขวนเป็นพู่ ดอกออกลำพังๆหรือออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอมหวน เมื่อบานเต็มกำลังมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๕-๑๐ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบดอกมี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานและก็เว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีไม่น้อยเลยทีเดียว ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ ซม. ยาว ๔๐ เซนติเมตร ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบห่อหุ้มผล ๔ กาบ มีเมล็ด ๑-๒ เม็ด พืชนี้มีแก่นไม้สีแดงคล้ำ วาวเลื่อม เสี้ยนออกจะตรง เนื้อค่อนข้างหยาบคายแข็ง รวมทั้งแข็งแรงดีเลิศ เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาได้ดิบได้ดี ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามวัสดุ ใช้ประกอบเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานท้ายหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเมล็ดทำเครื่องแต่งหน้า แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอมหวน เย็น รสขมบางส่วน ช่วยทำนุบำรุงจิตใจให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้รอยแดง แก้ร้อนในดับกระหาย บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด ตาลาย หน้ามืด ตาลาย และว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรทั้ง ๕ และก็เกสร ๗ และก็เกสร ๙ นอกจากนี้ส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังใช้คุณประโยชน์ทางยาได้ อาทิเช่น รากใช้แก้ลมในลำไส้ เปลือกต้นมีสรรพคุณกระจัดกระจายหนอง และก็กระพี้แก้เสมหะในลำคอ เนื้อไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด
ดอกพิกุล
ดอกพิกุล เป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในวงศ์ Sapotaceae พืชจำพวกนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางป่า (ลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบคนเดียว เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ เซนติเมตร ยาว ๕-๑๕ เซนติเมตร โคนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว หรือออกเป็นกลุ่ม ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันนิดหน่อย ตกง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมเย็น กลิ่นยังคงอยู่แม้ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้สมบูรณ์มี ๘ อัน และก็เกสรเพศผู้เป็นหมัน เหมือนกลีบดอกไม้มี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ เซนติเมตร เมื่ออ่อนสีเขียว แล้วก็สุกมีสีแดงแสด มีรสหวานนิดหน่อย เมื่อต้นพิกุลมีอายุมากมายๆเนื้อไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย ก็เลยไม่นิยมนำมาปลูกเอาไว้ในบริเวณบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในเนื้อไม้ ทำให้เนื้อไม้มีกลิ่นหอมสดชื่น โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านยาสมุนไพรเป็นเนื้อไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมหวนฝรั่งเรียก “bullet wood” เนื่องมาจากเนื้อไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆราวกับรอยกระสุน
ขอนดอก
เป็นเครื่องยาไทย บางทีอาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะหาม(Lagerstroemia calyculata Kurz. วงศ์ Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อราก้าวหน้าเข้าไปในแก่นไม้ แต่ว่าโบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะแบกจะมีคุณภาพด้อยกว่า ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอม รสจืด มีสรรพคุณบำรุงตับ ปอด และก็หัวใจ บำรุงทารกในท้อง (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจสดชื่น ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมหวนเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ แก้เจ็บคอและก็แก้ร้อนใน หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสรทั้งยัง ๗ แล้วก็เกสร ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมหวนเพื่อทำบุหงา เว้นแต่น้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังใช้ผลดีทางยาได้หนังสือเรียนว่ารากพิกุลมีรส ขมฝาด เข้ายาบำรุงเลือด แก้เสมหะ แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมฝาด เข้ายาบำรุงโลหิต ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้โรคหืด แก้กามโรค
ดอกมะลิ
ดอกมะลิเป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในวงศ์ Oleaceae  หากมีกลีบดอกไม้ชั้นเดี่ยวเรียก มะลิลา ถ้ามีกลีบดอกทับกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แต่ว่าดอกมะลิที่ระบุในแบบเรียนยามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ เซนติเมตรยาว ๕-๗ ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น ถ้าหากเป็นจำพวกดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ และสีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมแรง ดอกโดดเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบดอกไม้เป็นหลอดยาว ๑-๒ ซม. ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานสุดกำลังจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๓ ซม. เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แต่ว่าจะ ดกในช่วงฤดูร้อนและก็ฤดูฝน ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจสดชื่น บำรุงครรภ์ แก้ร้อนในอยากกินน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรทั้งยัง ๗ แล้วก็เกสรทั้ง ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ชนิดอื่นๆที่มีกลิ่นหอม สำหรับทำบุหงา ยิ่งไปกว่านั้นตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด หมอตามชนบทใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวตูดกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง รวมทั้ง ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยรอยแผล รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำ แก้ปวดปวดศีรษะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มาก (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้สลบ ตำพอกหรือแก้เคล็ดลับปวดเมื่อยจากการกระทบชน
ดอกสารภี
ดอกสารภีได้จากต้นสารภีอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในตระกูล Guttiferae ลางถิ่นเรียก ไม่สำนึกในบุญคุณ (จันทบุรี) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับทิศทางกัน รูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ ซม.ยาว ๑๕-๒๐ เซนติเมตร โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทื่อๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบครึ้ม ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมยวนใจมาก กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ติดทนแล้วก็ขยายโตตามผล กลีบดอกมี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑.๕ ซม. เกสรเพศผู้มีจำนวนไม่น้อย ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ ซม. เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มเม็ด
สารภีแนน
สารภีแนน เป็นชื่อถิ่นทางพายัพของพืชที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในตระกูล Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ เช่น สารภีสมุทร (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) กากะทิง (ภาคกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นริมหาด หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วๆไป พืชจำพวกนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดที่กว้างเป็นพุ่มกลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลผสมเทา ข้างในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๘-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้าตรงกลางนิดหน่อย ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนา เส้นใบถี่แล้วก็ขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๒.๕ ซม. เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีเยอะแยะ ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒.๕-๓ ซม. ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวย่น เปลือกค่อนข้างหนา แพทย์แผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากที่หนีบได้จากเมล็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ แล้วก็ใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องแต่งตัวหนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอมหวน รสขมเย็น แก้โลหิตทุพพลภาพ แก้ไข้ที่มีพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ แล้วก็ยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีไว้ภายในพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสรทั้งยัง ๗ และก็เกสรอีกทั้ง ๙
ดอกจำปา
ดอกจำปา ได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในตระกูล Magnoliaceae พืชจำพวกนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนรวมทั้งใบอ่อนมีขน ใบแก่เกลี้ยง ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงวิริยะสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ ซม. ยาว ๑๐-๒๕ ซม. ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกผู้เดียว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมหวนแรง กลีบ
จำปาดอกขาว
เนื่องจากต้นจำปามีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง คือตั้งแต่อินเดีย พม่า ไทย ไปถึงจนถึงเวียดนาม จึงอาจมีการคลายภายในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนขนาดและสีของดอกแตกต่างกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาอายุมากต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเหมือนดอกจำปีทั่วไป) แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เหมือนดอกจำปาทั่วไป) ชาวบ้านเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาอายุมากต้นนี้เอง ส่วนวลี ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เสพผู้สืบเชื้อสายจากพระชัยศิริ ราชวงศ์เชียงราย อพยพมาตั้งถิ่นฐานต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พ. ศ. ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ยกพลตีสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมและรับชัยชนะในราวพ. ศ. ๑๘๐๐ สถาปนาพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย
จำปาของลาว
จำปา เป็นชื่อที่ชาวไทยอีสานและชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในวงศ์ Apocynaceae คนไทยภาคกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นอาจเรียก จำปาขาว จำปาขอม จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๓๒ เซนติเมตร ปลายและโคนมน ด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงเล็กน้อย เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมาก ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิยมปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นไม้มงคลผู้ไม่รู้ลางท่านเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ ระทม อันหมายความว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อให้พืชชนิดนี้ใหม่ว่า “ลีลาวดี” ซึ่งเป็นการไม่สมควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืชสมุนไพรที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า กลีบดอกจำปามีกลิ่นหอม มีรสขม ช่วยทำให้เลือดเย็น กระจายโลหิต อันร้อน ขับปัสสาวะ ขับลม แก้อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงโลหิต ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร ทั้ง ๗ และเกสรทั้ง ๙ ลางตำราว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูกินแก้หอบหืด และเมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง นอกจากนั้นเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนขม แก้คอแห้ง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำดื่มแก้โรคหนองใน ขับระดู ใบมีรสเฝื่อนขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาทพิการ แก้ป่วง ใช้ลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้หืด กระพี้มีรสเฝื่อนขม ใช้ถอนพิษผิดสำแดง แก่นมีรสเฝื่อนขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย
ต้นจำปา ที่ซับจำปา
บริเวณที่ปัจจุบันเป็นบ้านซับจำปาตำบลซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งยังมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานถึงแต่ในปัจจุบันถูกชาวบ้านแผ้วถางเป็นพื้นที่ทำกินโดยเฉพาะเป็นไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตา คงเหลือแต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ชาวบ้านเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่มากชาวบ้านเรียกพืชนั้นว่าต้องจับปลาและเรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าซับจําปาอันเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านชื่อวัดและชื่อตำบลตามลำดับเมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาที่จะศึกษาจำปาต้นนี้ ในเชิงอนุกรมวิธานพบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ชนิดใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีรายงานว่าพบที่ใดมาก่อน จึงได้กำหนดชื่อพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกชนิดว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเพื่ออนุรักษ์พืชชนิดนี้ไว้ให้แหล่งพันธุกรรมและระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชชนิดนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร
ดอกกระดัง
ดอกกระดังงา เป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในวงศ์ Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกสีเทาเกลี้ยงหรือสีเงิน กิ่งก้านแผ่ออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน ห้อยลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ เซนติเมตร ยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบค่อนข้างกลมมน หรือเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง ค่อนข้างนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ เซนติเมตร มีขนปกคลุม กลีบดอกห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบมักจะม้วนหรืออยากเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ เซนติเมตร กลีบชั้นในสั้นกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้และรังไข่มีจำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร มีก้านยาว ๑.๓-๒ เซนติเมตร มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกแรกแย้มด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมวิงเวียน ชูกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่น แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง๗ และเกสรทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ท้องเสีย นอกจากนั้นเนื้อไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะพิการเช่นกัน
กระดังงาสงขลา
กระดังงาสงขลา หรือ กระดังงาเบา มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในวงศ์ Annonaceae
 เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและดอกคล้ายต้นกระดังงามาก ต่างกันที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกเดี่ยวๆ บนกิ่งด้านตรงข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกมี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด และเป็นคลื่นมากกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและใหญ่กว่ากลีบชั้นใน พืชชนิดนี้เป็นพืชถิ่นเดียวและพืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของประเทศไทย พบครั้งแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกลำเจียก
ดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในวงศ์ Pandanaceae พืชชนิดพืชนี้ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศเมีย เรียก เตย หรือเตยทะเล มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชชนิดหนึ่งโดยให้ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆ กระจายอยู่ทั่วไป โคนต้นมีรากค้ำจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับเป็น ๓ เกลียวที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ราว ๒ เมตร ขอบใบหยักมีหนามแข็ง ปลายหนามโค้งไปทางปลายใบ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียมีต่างต้นกัน ช่อดอกเพศผู



โฆษณาสินค้าฟรี ประกาศขายสินค้าฟรี โปรโมทเว็บฟรี