รับทำSEOราคาถูก รับโปรโมทเว็บราคาถูก รับโพสเว็บราคาถูก รับจ้างโฆษณาสินค้าราคาถูก

อุปกรณ์ออกบูธ

รับทำseoราคาถูก, รับดันอันดับเว็บ, รับโปรโมทเว็บราคาถูก รับติดแบนเนอร์ รับติดตั้งตาข่ายกันนก รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์

รับติดแบนเนอร์ ตอกเสาเข็ม, ขายเสาเข็ม, ขายแผ่นพื้น, ปั้นจั่น, รับผลิตเสาเข็ม รับติดแบนเนอร์ ไนโตรเจนเหลว รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์

รับทำseoราคาถูก, รับโปรโมทเว็บไซต์, รับดันอันดับเว็บไซต์, รับทำเว็บไซต์, ออกแบบเว็บไซต์ราคาถูก, รับประกันติดgoogle

**ประกาศ!! เนื่องจากต้นทุนค่าโฮสติ้งสูงขึ้นมาก รบกวนสมาชิกใหม่(สมัครใหม่จะยังไม่อนุมัติ จนกว่าจะโอน) และเก่า(ทุกUserจะโดนลบ หากไม่โอนช่วย) โอนช่วยค่าโฮส ปีละ 200 บาท ด้วยนะครับ ติดต่อ Add Line : @posthitz

ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรพิกัดเกสรมี เเละรวมทั้ง สมุนไพรอื่นๆ  (อ่าน 224 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

bilbill2255

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 43
    • ดูรายละเอียด

Permalink: สมุนไพรพิกัดเกสรมี เเละรวมทั้ง สมุนไพรอื่นๆ

สมุนไพรพิกัดเกสร
คำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น มีความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ อาจคือส่วนประกอบที่ใช้แพร่พันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งนำเสนออยู่ในวงของดอก เป็นเกสรผู้แล้วก็เกสรเพศเมีย ตามลำดับจากนอกถึงในสุดทาง หลังจากนั้นออกมาจะเป็นกลีบดอกไม้แล้วก็กลีบเลี้ยงตามลำดับ แต่ว่าในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ตัวอย่างเช่น เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้ทั้งยังดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบ เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย) (อย่างเช่น ดอกกระดังงา ดอกมะลิ ฯลฯ) หรือบางทีอาจหมายถึงช่อดอกอีกทั้งช่อ (เช่น ดอกลำเจียก )พิกัดเกสรที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัดหมายถึงพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ พิกัดเกสรอีกทั้ง ๗ แล้วก็พิกัดเกสรอีกทั้ง ๙ พิกัดเกสรทั้งยัง ๕ อย่างเช่น เกสรบัวหลวง เกสรบุนนาค ดอกพิกุล ดอกมะลิ และดอกสารภี มีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะและเลือด แก้ไข้เพ้อกลุ้มใจ แก้ลมหน้ามืด แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงครรภ์ เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากในยาแก้ลมวิงเวียน ยาหอมบำรุงหัวใจ พิกัดเกสรทั้ง ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ในพิกัดเกสรทั้ง ๕  โดยมีดอกจำปา และก็ดอกกระดังงา เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณโดยรวมชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดแล้วก็เลือด แก้ไข้เพพ้อกังวล แก้ลมหน้ามืด แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้โรคตาพิกัดเกสรทั้งยัง ๙ ประกอบด้วยตัวยา ๗ อย่างในพิกัดเกสรทั้งยัง ๗ โดยมีดอกลำเจียก และดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา
                   
ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสร
เครื่องยา                ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของแหล่งที่มา วงศ์   ส่วนของพืช
เกสรบัวหลวง        Nelumbo nucifera Gaertn.           Nelumbonaceae      เกสรเพศผู้
ดอกบุนนาค           Mesua ferrea L.                Guttiferae           อีกทั้งดอก
ดอกพิกุล                Mimusops elengi L.         Sapotaceae        ทั้งยังดอก
ดอกมะลิ                Jasminum sambac Ait.   Oleaceae             ทั้งดอก
ดอกสารภี              Mamea siamensis (T.and) Kosterm.        Guttiferae           ดอก
ดอกจำปา              Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.)        Magnoliaceae       ทั้งยังดอก
ดอกกระดังงา        Cananga  odorata Hook.f. & Th. Annonaceae      อีกทั้งดอก
ดอกลำเจียก          Pandanus odoratissimus L.f         Pandanaceae     ช่อดอกช่อ
ดอกลำดวน           Melodorum fruiticosum Lour.    Annonaceae      ทั้งยังดอก
เกสรบัวหลวง
เกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงประเภทดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบุณฑริก) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท บัวหลวง เป็นต้น) บัวหลวงเป็นบัวน้ำประเภทก้านแข็ง (อุบลชาติ) มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในวงศ์ Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า มีกลิ่นหอมหวน รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรอีกทั้งเจ็ดรวมทั้งเกสรทั้งยัง ๙
ดอกบุนนาค
ดอกบุนนาค ได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในสกุล Guttiferae พืชประเภทนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มไม้เป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนเล็กน้อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลคละเคล้าเทาแล้วก็คละเคล้าแดง มีรอยแตกตื้นๆด้านในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานปนใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ ซม. ยาว ๔-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีคราบเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบครึ้ม ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มม. ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองห้อยเป็นพู่ ดอกออกผู้เดียวๆหรือออกเป็นกระจุก กระจุกละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อบานสุดกำลังมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๕-๑๐ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบดอกมี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานรวมทั้งเว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีมากมาย ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ ซม. ยาว ๔๐ ซม. ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบห่อผล ๔ กาบ มีเม็ด ๑-๒ เม็ด พืชนี้มีเนื้อไม้สีแดงคล้ำ เป็นเงาเลื่อม เศษไม้ออกจะตรง เนื้อค่อนข้างหยาบคายแข็ง แล้วก็คงทนดีเยี่ยม เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาเจริญ ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองทางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามเครื่องมือ ใช้สร้างเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานท้ายหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเม็ดทำเครื่องแต่งหน้า ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอมสดชื่น เย็น รสขมนิดหน่อย ช่วยบำรุงรักษาใจให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้รอยดำ แก้ร้อนในดับกระหาย บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย และก็ว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ รวมทั้งเกสร ๗ และเกสรอีกทั้ง ๙ นอกจากนั้นส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังใช้คุณประโยชน์ทางยาได้ ดังเช่นว่า รากใช้แก้ลมในลำไส้ เปลือกต้นมีสรรพคุณกระจัดกระจายหนอง รวมทั้งกระพี้แก้เสลดในคอ เนื้อไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด
ดอกพิกุล
ดอกพิกุล เป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในตระกูล Sapotaceae พืชชนิดนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางป่าดง (จังหวัดลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ ซม. ยาว ๕-๑๕ ซม. วัวนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบของใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกเดี่ยว หรือออกเป็นกระจุก ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบดอกมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันบางส่วน หล่นง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมยวนใจเย็น กลิ่นยังคงอยู่หากแม้ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้สมบูรณ์มี ๘ อัน รวมทั้งเกสรเพศผู้เป็นหมัน คล้ายกลีบดอกไม้มี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ ซม. เมื่ออ่อนสีเขียว และก็สุกมีสีแดงแสด มีรสหวานน้อย เมื่อต้นพิกุลแก่มากๆแก่นไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย จึงไม่นิยมปลูกไว้ภายในบริเวณบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในแก่นไม้ ทำให้เนื้อไม้มีกลิ่นหอมหวน โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านค้ายาสมุนไพรเป็นเนื้อไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมสดชื่นฝรั่งเรียก “bullet wood” ด้วยเหตุว่าแก่นไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆราวกับรอยกระสุน
ขอนดอก
เป็นเครื่องยาไทย บางทีอาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะหาม(Lagerstroemia calyculata Kurz. ตระกูล Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อราเจริญเข้าไปในแก่นไม้ แต่ว่าโบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะหามจะมีคุณภาพด้อยกว่า ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอม รสจืด มีคุณประโยชน์บำรุงตับ ปอด และก็หัวใจ บำรุงทารกในครรภ์ (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจสดชื่น ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดศรีษะ แก้เจ็บคอรวมทั้งแก้ร้อนใน แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรทั้ง ๗ แล้วก็เกสรอีกทั้ง ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมหวนเพื่อทำบุหงา เว้นแต่น้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังคงใช้ประโยชน์ทางยาได้หนังสือเรียนว่ารากพิกุลมีรส ขมเฝื่อนฝาด เข้ายาบำรุงเลือด แก้เสมหะ แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมเฝื่อน เข้ายาบำรุงโลหิต ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้โรคหืด แก้กามโรค
ดอกมะลิ
ดอกมะลิเป็นดอกของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในสกุล Oleaceae  ถ้าหากมีกลีบดอกชั้นเดียวเรียก มะลิลา ถ้าเกิดมีกลีบดอกไม้ทับกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แต่ว่าดอกมะลิที่เจาะจงในตำรายามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ เซนติเมตรยาว ๕-๗ ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น ถ้าเกิดเป็นจำพวกดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ รวมทั้งสีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมหวนแรง ดอกผู้เดียวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบดอกไม้เป็นหลอดยาว ๑-๒ ซม. ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานเต็มกำลังจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๓ ซม. เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แต่ว่าจะ ดกในช่วงฤดูร้อนรวมทั้งฤดูฝน แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมหวนเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวย บำรุงครรภ์ แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสร ๗ แล้วก็เกสรอีกทั้ง ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ชนิดอื่นๆที่มีกลิ่นหอมหวน สำหรับทำบุหงา ยิ่งไปกว่านั้นตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด หมอตามชนบทใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวก้นกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง และก็ ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยแผล รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำกิน แก้ปวดปวดศรีษะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มากมาย (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้สลบ ตำพอกหรือแก้เคล็ดขัดยอกจากการกระทบกระแทก
ดอกสารภี
ดอกสารภีได้จากต้นสารภีอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในสกุล Guttiferae ลางถิ่นเรียก ไม่รู้บุญคุณ (จันทบุรี) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวและจะกลายเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับแนวทางกัน รูปไข่ปนรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ ซม.ยาว ๑๕-๒๐ ซม. โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทื่อๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบครึ้ม ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมมากมาย กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมชิดกัน ติดทนรวมทั้งขยายโตตามผล กลีบมี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ ซม. เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มห่อเม็ด
สารภีแนน
สารภีแนน เป็นชื่อถิ่นทางตะวันตกเฉียงเหนือของพืชที่มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในสกุล Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ ดังเช่นว่า สารภีทะเล (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) กระทิง (ภาคกึ่งกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นชายหาด หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วๆไป พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดแห่งกว้างเป็นพุ่มกลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลคละเคล้าเทา ภายในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบคนเดียว เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๘-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้ากึ่งกลางน้อย ขอบใบเรียบ เนื้อใบครึ้ม เส้นใบถี่และก็ขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบดอกมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๒.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีเยอะๆ ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๕-๓ ซม. ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวร่น เปลือกค่อนข้างดก หมอแผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากคีมจับได้จากเม็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ และก็ใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องแต่งตัวตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอมยวนใจ รสขมเย็น แก้โลหิตทุพพลภาพ แก้ไข้ที่มีพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ และก็ยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีไว้ในพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสร ๗ รวมทั้งเกสรทั้ง ๙
ดอกจำปา
ดอกจำปา ได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในสกุล Magnoliaceae พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนและใบอ่อนมีขน ใบแก่สะอาด ใบเป็นใบลำพัง เรียงเวียรสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ ซม. ยาว ๑๐-๒๕ เซนติเมตร ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมแรง กลีบ
จำปาดอกขาว
เนื่องจากต้นจำปามีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง คือตั้งแต่อินเดีย พม่า ไทย ไปถึงจนถึงเวียดนาม จึงอาจมีการคลายภายในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนขนาดและสีของดอกแตกต่างกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาอายุมากต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเหมือนดอกจำปีทั่วไป) แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เหมือนดอกจำปาทั่วไป) ชาวบ้านเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาอายุมากต้นนี้เอง ส่วนวลี ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เสพผู้สืบเชื้อสายจากพระชัยศิริ ราชวงศ์เชียงราย อพยพมาตั้งถิ่นฐานต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พ. ศ. ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ยกพลตีสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมและรับชัยชนะในราวพ. ศ. ๑๘๐๐ สถาปนาพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย
จำปาของลาว
จำปา เป็นชื่อที่ชาวไทยอีสานและชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในวงศ์ Apocynaceae คนไทยภาคกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นอาจเรียก จำปาขาว จำปาขอม จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๓๒ เซนติเมตร ปลายและโคนมน ด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงเล็กน้อย เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมาก ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิยมปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นไม้มงคลผู้ไม่รู้ลางท่านเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ ระทม อันหมายความว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อให้พืชชนิดนี้ใหม่ว่า “ลีลาวดี” ซึ่งเป็นการไม่สมควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืชสมุนไพรที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า กลีบดอกจำปามีกลิ่นหอม มีรสขม ช่วยทำให้เลือดเย็น กระจายโลหิต อันร้อน ขับปัสสาวะ ขับลม แก้อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงโลหิต ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร ทั้ง ๗ และเกสรทั้ง ๙ ลางตำราว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูกินแก้หอบหืด และเมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง นอกจากนั้นเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนขม แก้คอแห้ง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำดื่มแก้โรคหนองใน ขับระดู ใบมีรสเฝื่อนขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาทพิการ แก้ป่วง ใช้ลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้หืด กระพี้มีรสเฝื่อนขม ใช้ถอนพิษผิดสำแดง แก่นมีรสเฝื่อนขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย
ต้นจำปา ที่ซับจำปา
บริเวณที่ปัจจุบันเป็นบ้านซับจำปาตำบลซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งยังมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานถึงแต่ในปัจจุบันถูกชาวบ้านแผ้วถางเป็นพื้นที่ทำกินโดยเฉพาะเป็นไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตา คงเหลือแต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ชาวบ้านเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่มากชาวบ้านเรียกพืชนั้นว่าต้องจับปลาและเรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าซับจําปาอันเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านชื่อวัดและชื่อตำบลตามลำดับเมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาที่จะศึกษาจำปาต้นนี้ ในเชิงอนุกรมวิธานพบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ชนิดใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีรายงานว่าพบที่ใดมาก่อน จึงได้กำหนดชื่อพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกชนิดว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเพื่ออนุรักษ์พืชชนิดนี้ไว้ให้แหล่งพันธุกรรมและระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชชนิดนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร
ดอกกระดัง
ดอกกระดังงา เป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในวงศ์ Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกสีเทาเกลี้ยงหรือสีเงิน กิ่งก้านแผ่ออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน ห้อยลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ เซนติเมตร ยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบค่อนข้างกลมมน หรือเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง ค่อนข้างนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ เซนติเมตร มีขนปกคลุม กลีบดอกห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบมักจะม้วนหรืออยากเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ เซนติเมตร กลีบชั้นในสั้นกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้และรังไข่มีจำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร มีก้านยาว ๑.๓-๒ เซนติเมตร มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกแรกแย้มด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมวิงเวียน ชูกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่น แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง๗ และเกสรทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ท้องเสีย นอกจากนั้นเนื้อไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะพิการเช่นกัน
กระดังงาสงขลา
กระดังงาสงขลา หรือ กระดังงาเบา มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในวงศ์ Annonaceae
 เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและดอกคล้ายต้นกระดังงามาก ต่างกันที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกเดี่ยวๆ บนกิ่งด้านตรงข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกมี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด และเป็นคลื่นมากกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและใหญ่กว่ากลีบชั้นใน พืชชนิดนี้เป็นพืชถิ่นเดียวและพืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของประเทศไทย พบครั้งแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกลำเจียก
ดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในวงศ์ Pandanaceae พืชชนิดพืชนี้ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศเมีย เรียก เตย หรือเตยทะเล มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชชนิดหนึ่งโดยให้ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆ กระจายอยู่ทั่วไป โคนต้นมีรากค้ำจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับเป็น ๓ เกลียวที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ราว ๒ เมตร ขอบใบหยักมีหนามแข็ง ปลายหนามโค้งไปทางปลายใบ ดอกออกเป็นช



โฆษณาสินค้าฟรี ประกาศขายสินค้าฟรี โปรโมทเว็บฟรี