เสือโคร่งเสือโคร่งเป็นสัตว์ชนิดแมวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด รับประทานเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris (Linnaeus) ประเภทที่เจอในประเทศไทยเป็นประเภทย่อย Panthera tigris corbetti (Mazak) จัดอยู่ในสกุล Felidae เสือลายพิงกลอน ก็เรียก
ชีววิทยาของเสือโคร่งเสือโคร่งเมื่อโตเต็มที่มีความยาวลำตัวราว ๒๑๐ ซม. หางยาวราว ๑๐๕ เซนติเมตร สูงราว ๙๕ เซนติเมตร (วัดจากหัวไหล่) น้ำหนักตัว ๑๐๐-๒๑๐ กิโลกรัม เพศผู้ที่โตสุดกำลังบางทีอาจหนักได้ถึง ๓๐๐ กิโล มีเล็บแหลมคม แอบซ่อนได้ มีเขี้ยวบน ๒ เขี้ยว ด้านล่าง ๒ เขี้ยว หน้าสั้น มีหนวดแข็ง ตากลมโต แวววับ ขมตามตัวเป็นเส้นเล็กละเอียด สีเหลืองผสมเทา หรือสีเหลืองอมสีน้ำตาลปนแดง ท้องสีขาว มีแถบลายดำพาดข้ามข้างหลังลงมาข้างๆลำตัวตลอดตั้งแต่หัวถึงปลายหาง หางมีปล้องสีดำสลับเหลือง ปลายหางสีดำ หลังใบหูมีสีดำ รวมทั้งมีจุดสีนวลใหญ่เห็นได้ชัด เสือโคร่งเป็นสัตว์ขี้ร้อน ถูกใจเล่นน้ำหรือแช่น้ำมากมาย ปีนต้นไม้ได้ อาศัยในป่าได้เกือบทุกจำพวกที่มีอาหาร น้ำ และแหล่งหลบซ่อนตัวอย่างเพียงพอ อย่างเช่น ถ้ำ หลืบหิน ขอนไม้ใหญ่ ป่าที่รกทึบ ออกล่าเหยื่อตั้งแต่ตอนเวลาเย็นไปจนถึงเช้า อาหารที่กินได้แก่ กวาง เก้ง หมูป่า โค ควาย รวมทั้งสัตว์อื่นๆเสือโคร่งชอบอยู่โดดเดี่ยว เว้นเสียแต่ตัวเมียที่กำลังเลี้ยงลูกอ่อน ตามปรกติตัวเมียเป็นสัดทุก ๕๐ วัน แล้วก็เป็นสัดอยู่นาน ๕ วัน คลอดลูกครอกละ ๑-๗ ตัว มีท้องนาน ๑๐๕-๑๑๐ วัน เสือโคร่งในธรรมชาติ มีอายุได้ ๒๐-๒๕ ปี เคยมีผู้ทำนองว่า ในประเทศไทยมีเสือโคร่งหลงเหลืออยู่ในธรรมชาติไม่เกิน ๕๐๐ ตัว พบในแนวเขาตะท้องนาวศรี เทือกเขาจังหวัดเพชรบูรณ์ เขาใหญ่ และก็ในป่าดงดิบทางภาคใต้ ในเมืองนอกเจอได้ตั้งแต่ในไซบีเรียไปจนกระทั่งทะเลสาบแคสเปียน ในประเทศอินเดียแล้วก็ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเกาะสุมาตรา ชวา และก็บาหลี เสือโคร่งที่เลี้ยงกันทั่วไปในประเทศไทยเป็นเสือโคร่งเบงกอล อันเป็นเสือโคร่งจำพวกย่อย ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris tigris (Linnaeus) พบที่อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ และประเทศพม่า ประเภทย่อยนี้ตัวโตกว่าเสือโคร่งชนิดย่อยที่เจอในธรรมชาติในไทย
ผลดีทางยาแพทย์แผนไทยรู้จักใช้ส่วนต่างๆของเสือโคร่งดูเหมือนจะทุกส่วนเป็นเครื่องยา ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเสือโคร่ง เขี้ยว กระดูก หนัง ดีเสื้อ เอ็นเสือ ตาเสือ ไตเสือ และก็เนื้อเสือ แต่ว่าที่ใช้มากมี
๑. น้ำมันเสือ แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า น้ำมันเสือมีรสเผ็ด ใช้ต้มผสมกับเหล้า รับประทานแก้คลื่นไส้อ้วก แก้ผมหงอกก่อนวัย ใน ตำราเรียนพระยาพระนารายณ์ มียาขนานหนึ่ง คือขนานที่ ๖๙ สีผึ้งบี้พระเส้น เข้า “น้ำมันเสือ” เป็นเครื่องยาด้วย
๒. เขี้ยวเสือ โบราณว่ามีรสเย็น มีคุณประโยชน์ดับไข้พิษ ไข้กาฬ แก้พิษร้อน พิษอักเสบ พิษตานซาง เขี้ยวเสือเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดยาไทยที่เรียก “นวเขี้ยว” หรือ “เนาวเขี้ยว” ได้แก่ เขี้ยวหมูป่า เขี้ยวหมี เขี้ยวเสือ เขี้ยวแรด เขี้ยวสุนัขป่า เขี้ยวปลาพะยูน เขี้ยวไอ้เข้ เขี้ยวแกงเลียงผา และงา
๓. กระดูกเสือ ตำรายาโบราณว่ามีรสเผ็ดคาว เป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงไขข้อและก็เนื้อหนัง แก้ปวดบวมตามข้อ แก้โรคปวดข้อ เป็นยาระงับประสาท แก้โรคลมเหียน แก้ปวดตามข้อ หัวเข่า กระดูก บำรุงกระเพาะอาหาร ยาขนานหนึ่งใน พระคัมภีร์ไกษย ชื่อ “ยาเนาวหอย” เข้า “กระดูกเสือเผา” เป็นเครื่องยาด้วย
กระดูกเสือในยาจีนกระดูกเสือเป็นเครื่องยาที่ใช้ในยาจีน หายากและมีราคาแพง มีชื่อเครื่องยาในภาษาละตินว่า Os Tigris จีนเรียก หูกู่ (แมนดาริน) ได้จากกระดูกแห้ง (ทุกชิ้น) ของเสือโคร่ง Panthera tigris (Linnaeus) หนังสือเรียนยาจีนว่า กระดูกเสือมีรสเผ็ด ฤทธิ์อุ่น มีสรรพคุณไล่ “ลม” และก็แก้ปวด ก็เลยใช้รักษาโรคลมจับโปง และก็มีคุณประโยชน์เพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูกและก็กล้มเนื้อ ใช้แก้อาการเพลียของกระดูกแล้วก็กล้ามเนื้ออันเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากตับแล้วก็ไต “พร่อง” ขนาดที่ใช้คือวันละ ๓-๖ กรัม โดยมักตระเตรียมเป็นยาเม็ดลูกกลอน ยาผง แล้วก็ยาดองเหล้า ก่อนนำกระดูกเสือมาใช้เป็นเครื่องยา จะต้องละเนื้อออกให้หมด ตากให้แห้ง แล้วเลื่อยออกเป็นชิ้นเล็กๆหรืออาจเอากระดูกชิ้นเล็กๆมาทอดด้วยน้ำมันไม่มีจะกินแล้วทำให้เย็นก่อนนำมาใช้ เพราะว่ากระดูกเสือเป็นเครื่องยาหายากรวมทั้งราคาแพงแพง ก็เลยมีของปลอมขายในท้องตลาดมาก ส่วนใหญ่เป็นกระดูกวัว
๔.
น้ำนมเสือ แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่ามีรสมันร้อน มีสรรพคุณชูกำลังแก้หืด ดับพิษร้อน มียาหยอดตาขนานหนึ่งใน พระหนังสือปฐมจินดาร์ เข้า “น้ำนมเสือ” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้ ยาหยอดตาสำหรับกัน ขนานนี้ท่านให้เอา นอแรด ๑ น้ำนมเสือ ๑ ผลสมอเทศ ๑ รากตำลึงตัวผู้ ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเท่าเทียมกัน บดทำแท่ง ฝนด้วยน้ำค้าง หยอดแก้สารพัดตานทรางทั้งผองขึ้นตา แล้วจึงแต่งยาชื่อว่าคุณประโยชน์ลิกานั้น สำหรับแก้ตานโจร พวกนี้ต่อไป