![]()
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวลดน้อยลงอย่างเร็วในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถรักษาระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้นิ่งได้ มีความเอนเอียงที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติขอรับ เมื่อใดที่การตรวจสอบวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นกล่าวถึงว่าระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ถูกทำลายแล้ว
ค่าปกติเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางคนสูง บางท่านต่ำ ค่าปกติธรรมดาของ % Lymp อยู่ในช่วงประมาณ 19-48% ดังนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
การถดถอยอย่างมากมายของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นเครื่องแสดงของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าผู้เจ็บป่วยเป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์แบบ การป้องกันร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจทานวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างสม่ำเสมอ เนื่องด้วยระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสลักสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการป้องกัน หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่คนไข้เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางชนิด เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลรักษาโรคปอดอักเสบ ฯลฯ
ในสมัยนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์ยุคใหม่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยโรคภัยต่างๆ สามารถทำได้อย่างทันที และช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือพิการของผู้ป่วยได้มากมาย
ถ้าแม้ว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายเหตุที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของหญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีระดู ยาคุมชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells ลดน้อยลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายผ่อนคลาย T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% เป็นอาทิ
เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำภารกิจเป็นเหมือนตัวควบคุมระบบภูมิต้านทานทั้งสิ้น พอเซลล์นี้ถูกทำร้ายไประบบภูมิต้านทานก็ทำงานเพี้ยน ทำให้ไม่สามารถปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคแตกต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์ท้ายสุด การสำรวจหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือ และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิต้านทานแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง
ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์ต้นแบบที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในดั้งเดิม
ยาต้านไวรัสเอดส์ส่วนใหญ่ใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบอุปสรรคของการใช้ยาบางอย่าง ได้แก่ อุปสรรคจากผลข้างเคียงของยา ปัญหาการต้านทานฤทธิ์ยาทั้งในระ
ทีนี้เรามาดูกันว่าแพทย์มีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้คนป่วย โดยวิเคราะห์จากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ
cd4 เช่นใด cd4
เพราะเช่นนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นกฏเกณฑ์การรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 มา ก็ไปพบหมอเพื่อขอรับประทานยาต้านไวรัสได้เลย แม้กระนั้นถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งทานยาต้าน ให้รักษาตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนครับ ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
คำศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral
ปัจจุบันนี้เราใช้ผลรวมเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และความเจ็บป่วยแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของคนไข้ ผู้ที่เจาะได้เซลล์จำนวนรวมน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน
ธรรมดาร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี อาจแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนจนน่าตกใจเลยใช่มั้ยขอรับ
[youtube]youtube.com/watch?v=S57ZZs45cIg[/youtube]
แต่ถ้าเล่าถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขออธิบายง่ายๆ ขอรับว่า cd4 เป็นครั้งคราวถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี ด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปโจมตีทำลาย
โดยระดับเป็นปกติของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 – 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของสุภาพสตรีที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีความโอนเอียงที่สูงกว่าเล็กน้อย คือ 500 – 1600.
ในสมัยปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์ส่วนใหญ่ ออกฤทธิ์สกัดกั้นการขยายพันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์ลดลงได้ และช่วยปกป้องไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell