ย่านางชื่อสมุนไพร ย่านางชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , ต้นหญ้าภคินี (ภาคกึ่งกลาง) , ย่านนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)ชื่อวิทยาศาสตร์ Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,สกุล Menispermaceaeบ้านเกิดเมืองนอน ย่านางมีถิ่นกำเนิดในตอนกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่า ในประเทศ ประเทศพม่า , ไทย , ลาว , เขมร ความเป็นจริงแล้วพืชวงศ์ย่านางนี้มีราว 70 ตระกูล แต่โดยมากเป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนรวมทั้งในป่าดงผลัดใบในทวีปเอเชียรวมทั้งอเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของเรานั้นเจอขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ในขณะนี้ได้มีการเอามาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภคและก็ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย
ลักษณะทั่วไป ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีแก่นไม้ เลื้อยพันตามต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแถวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน กิ่งมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนประปราย หรือหมดจด ใบเดี่ยว ครึ้ม สีเขียวเข้มเป็นเงา เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวราวๆ 6-12 เซนติเมตร กว้างราวๆ 4-6 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นบางส่วน ก้านใบยาวประมาณ 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ แต่แข็ง เหนียว มีเส้นใบครึ่งหนึ่งออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น แล้วก็มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบ 2-6 คู่ เส้นเหล่านี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบของใบ เส้นกลางใบด้านล่างจะร่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนหมดจด ก้านใบผิวย่นละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกแขนงตามข้อรวมทั้งซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวราวๆ 0.5 ซม. แยกเป็นช่อดอกเพศผู้รวมทั้งช่อดอกเพศเมีย ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่ารวมทั้งเรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มม. ค่อนข้างสะอาด กลีบดอกไม้มี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มิลลิเมตร สะอาด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปตะบอง ยาว 1.5-2 มิลลิเมตร ดอกเพศภรรยา กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มม. ภายนอกมีขนเล็กน้อย กลีบดอกไม้มี 6 กลีบ รูปรีปนขอบขนาน ยาว 1 มม. เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มิลลิเมตร ติดอยู่บนก้านยกสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลได้ผลกรุ๊ป ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มิลลิเมตร ผิวเกลี้ยง มีเมล็ดแข็ง ผลสีเขียว ชุ่มฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อและก็ซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มิลลิเมตร เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มรวมทั้งแดงสด เม็ดรูปเกือกม้า ผนังผลชั้นในมีสันไม่เรียบร้อย ออกดอกตอนเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน
การขยายพันธุ์ ย่านางเป็นพืชที่ก้าวหน้าได้ ในดินแทบทุกประเภท ชอบดินร่วนซุยปนทรายจะเจริญก้าวหน้าได้ดิบได้ดี การปลูกในหน้าฝน จะเจริญวัยได้ดีกว่า จะเจริญงอกงามเร็วกว่าปลูกลงในช่วงอื่น ย่านางที่ปลูกง่ายขึ้นง่าย รักษาง่าย ไม่ต้องดูแลมาก ทนความแห้งแล้งเจริญ
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยการเพาะเม็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แม้กระนั้นแนวทางที่เป็นที่ชื่นชอบในตอนนี้ คือ การเพาะเมล็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเม็ดสูง แม้กระนั้นต้องใช้เม็ดที่แก่เต็มที่ที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรที่จะนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเม็ดต้องระวังอย่าขุดหลุมลึก เนื่องจากว่าจะทำให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมากมาย เนื่องด้วยย่านางจะเติบโตได้ดี ในดินมีความชุ่มชื้นพอเพียง รวมทั้งสามารถเติบโตได้แม้ว่าจะมีวัชพืชขึ้นครึ้ม เหตุเพราะต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ด้านบนพืชจำพวกอื่น
สำหรับประเด็นการใส่ปุ๋ยย่านางนั้นไม่จำเป็น หากว่าดินมีภาวะอินทรีย์วัตถุที่พอเพียง พวกเราสามารถใช้เพียงแต่ปุ๋ยมูลสัตว์จากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แม้กระนั้นหากต้องการจะให้ใบเขียวเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือราวๆ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจะต้องปรับจำนวนลดลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกเอาไว้ภายในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1×1 เมตร และก็เมื่อต้นเริ่มเลื้อยเลื้อย ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลผลิตย่านาง จะเริ่มเก็บผลผลิตใบย่านาง ใช้เวลาโดยประมาณ 2-3 เดือน หลังปลูกในแปลง ใบมีขนาดโตเต็มที่มีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ แล้วก็จะเก็บได้ตลอดกาลเรื่อย
ส่วนประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่พบในใบย่านางส่วนใหญ่จะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) ได้แก่ ไม่เนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) และสารในกลุ่มฟลาโม้นไกลโคไซด์ ตัวอย่างเช่น สารโมโนอีพอกซีเบตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) แล้วก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) อย่างเช่น ทิเรียวัวรีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และ D-isochondendrine เจอได้ในราก รวมทั้งใบย่านาง และก็การเรียนรู้ส่วนประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต้านไข้จับสั่นจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้วิธีแยกสารด้วย column chromatography รวมทั้งการตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid 2 ชนิดเป็นtiliacorinine (I) แล้วก็ tiliacorine (II) ปริมาณ 0.0082% รวมทั้ง 0.0029% เป็นลำดับ ส่วนค่าทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
- พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
- เส้นใย 7.9 กรัม
- แคลเซียม 155.0 กรัม
- ธาตุฟอสฟอรัส 11.0 มก.
- เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 30625 (IU)
- วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม Minecoside
- วิตามินบีสอง 0.36 มก.
- ไนอาสิน 1.4 มก.
- วิตามินซี 141.0 มิลลิกรัม
- ขี้เถ้า 8.46%
- ไขมัน 1.26%
- โปรตีน 15% Tiliacorine
- น้ำตาลทั้งผอง 59.47%
- แคลเซียม 1.42%
- ธาตุฟอสฟอรัส 0.24%
- โพแทสเซียม 1.29%
- กรดยูเรนิค 10.12%
- โมโนแซคค้างไรด์
- แรมโนส 0.50%
- อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง) tiliacorinine
- กาแลคโตส 8.36%
- กลูโคส 11.04%
- ไซโลส 72.90%
ผลดี/สรรพคุณ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และก็ยังมีวิตามินที่ต้องต่อร่างกายอีกเพียบเลย อย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่คนอีกหลายคนต่างก็เคยชินกันดี เนื่องจากว่านิยมเอามาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร ดังเช่นว่า แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
ผลดีย่านางที่ใช้เป็นของกินมีดังนี้ ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากในฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้รับประทานแกล้มแนมกับอาหารเผ็ด คนประเทศไทยอีสานแล้วก็ชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำทำอาหารต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น ได้แก่ แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ และเพิ่มคลอโรฟิลล์และเบตาแคโรทีนให้กับอาหารดังที่กล่าวถึงมาแล้ว
นอกเหนือจากนี้ยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเปรอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมและหมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (หมายถึงใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เกินไป) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกนั้นยังนำไปผัด แกงกะทิ แล้วก็หั่นซอกซอยกินกับข้าวยำได้อีก ผลสุกใช้รับประทานเล่น ส่วนชาวเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนนำมาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นเมือง ยกตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของย่านางเป็น ตำราเรียนยาไทย ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกวชิระ (มีรากย่านาง รวมกับรากเท้ายายม่อม รากมะเดื่อจังหวัดชุมพร รากคนทา รากชิงชี่ อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ หรือราว 15 กรัม ต้มกับน้ำกินก่อนกินอาหารตอนเช้า กลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระแทกพิษไข้ แก้เมาสุรา ถอนพิษผิดสำแดง เอามาต้มกินเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้มาลาเรียเรื้องรัง ไข้ทับระดู บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษข้างในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากสุนัขน้อย ต้มกินแก้ไข้ไข้มาลาเรีย ลำต้น รสจืดขม ถอนพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้โรคฝีดาษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ใบ รสจืดขม รับประทานทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดศรีษะตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึก ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้โรคฝีดาษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกแบบเรียนหนึ่งระบุว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับกระหาย ทุเลาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส ไข้ทรพิษ ทำลายพิษแฮงค์ เมาสุรา ทุเลาท้องผูก ท้องร่วง บำรุงหัวใจ ถอนพิษ รวมทั้งลดพิษจากพืช สัตว์ และสารเคมีภายในร่างกาย ลำต้น ลำต้นนำมาต้มหรือบดคั้นน้ำดื่ม ทุเลาอาการไข้ประเภทต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด และก็ลดพิษสารกำจัดแมลงในร่างกาย ใบ นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือเอามาต้มน้ำกิน รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลรับประทาน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ดังเช่น บรรเทาอาการร้อนใน ทุเลาอาการไม่สบาย ตัวร้อน บรรเทาไข้รากสาด ไข้ไข้ทรพิษลดพิษสารกำจัดแมลงในร่างกาย และก็ทำลายพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากยานางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการไข้ ส่วนทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันโลหิต ต้านทานเชื้อจุลินทรีย์ ต่อต้านการแพ้ ลดการหดเกร็งของไส้ ต้านการก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase รวมทั้งมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆสำหรับในการต่อต้านอนุมูลอิสระ แล้วก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวคราว-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต่อต้านจุลินทรีย์ Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli รวมทั้ง Salmonellaspp. และก็ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวคราว-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านจุลชีพ Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli และ Salmonella spp. ต้านทานไข้ แล้วก็ต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางปราศจากอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังเช่น โรคหัวใจและก็เส้นโลหิต โรคกระดูกแล้วก็ข้อเบาหวาน โรคระบบทางเท้าหายใจ
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ราวๆ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา แก้ป่วง (เจ็บท้องด้วยเหตุว่าทานอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มทีละ 1-2 แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าเกิดไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงสิ่งเดียวก็ได้ หรือถ้าหากให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย ถอนพิษเบื่อเมาในอาหาร อาทิเช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นแล้วก็ใบ 1 กำมือ ตำผสมอาหารสารเจ้า 1 จับมือ เพิ่มเติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือแล้วก็น้ำตาลเล็กน้อยพอเพียงดื่มง่ายให้หมดแก้ว ทำให้อ้วกออกมา จะช่วยทำให้ดีขึ้น ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มครั้งละ 1-2 แก้ว การใช้เป็นยาท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้ไข้จับสั่น ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมจนเหลว สามารถเอามาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาฤทธิ์ต้านทานเชื้อไข้มาลาเรีย เล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด คือส่วนที่ละลายน้ำ แล้วก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการยับยั้งเชื้อมาลาเรีย จากองค์ประกอบทางเคมีที่แยกได้ พบสาร alkaloid ที่แตกต่าง 5 ประเภท ในกลุ่ม bisbenzyl isoquinoline เช่น tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, แล้วก็สาร alkaloid ที่ไม่สามารถที่จะเจาะจงโครงสร้างได้ คือ G และก็ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับในการกำจัดเชื้อมาลาเรียระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อมาลาเรียเข้าสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี รวมทั้งมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 พอๆกับ 344 ng/mL ตามด้วย nor-tiliacorinine A และก็ tiliacorine ตามลำดับ (ID50s พอๆกับ 558 รวมทั้ง 675 mg/mL ตามลำดับ)
ฤทธิ์ยั้งเชื้อวัณโรค สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 จำพวก อาทิเช่น tiliacorinine, 20-nortiliacorinine แล้วก็ tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง และอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 จำพวก คือ 13҆-bromo-tiliacorinine สารทั้ง 4 จำพวกนี้ ได้นำมาทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB) ผลการทดสอบพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แต่ว่าที่ค่า MIC พอๆกับ 3.1 μg/ml เป็นค่าที่สามารถยับยั้ง MDR-MTB ได้จำนวนหลายชิ้นที่สุด
ฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง การเล่าเรียนฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดสอบ และในสัตว์ทดสอบ โดยศึกษาผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กลุ่ม alkaloid ที่เจอในย่านาง สำหรับในการทดสอบ in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อดูผลลดการก้าวหน้าของก้อน เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี รวมทั้งสาร tiliacorinine ผลของการทดลองพบว่า tiliacorinine มีนัยสำคัญสำหรับการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นกรรมวิธีการ apoptosis ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับเพื่อการกำจัดเซลล์เปลี่ยนไปจากปกติ แล้วก็เซลล์ของโรคมะเร็งภายในร่างกาย และการทดสอบในหนูพบว่าสามารถลดการก้าวหน้าของเนื้องอกในหนูได้
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผักท้องถิ่นไทย จำนวน 6 จำพวก ดังเช่น ผักข้าด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง และก็ผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละชนิด ทดลองฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักทั้งยัง 6 จำพวกเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี รวมทั้งวิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำและส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 และ 772.63 ไมโครกรัม/มล. ตามลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี รวมทั้งวิตามินอีที่ IC50 9.34 รวมทั้ง 15.91 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ
การค้นคว้าวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยสำรวจฤทธิ์หยุดปวดแล้วก็ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผักพื้นบ้านอีสาน 10 จำพวก การตรวจหาฤทธิ์ยับยั้งปวดโดยใช้ writhing test แล้วก็ tail flick test สำหรับในการตรวจฤทธิ์ต่อต้านอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดสอบใช้สารสกัดผักประจำถิ่นด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กก. พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู แล้วก็ผักชีลาว ส่งผลลดการเกิด writhing ในหนูร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดสอบฤทธิ์หยุดปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางมีฤทธิ์หยุดปวด แล้วเลือกสารสกัดที่มีฤทธิ์มากที่สุด 4 จำพวก ตัวอย่างเช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง รวมทั้งผักกาดฮีนมากระทำทดสอบฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น พบว่าสารสกัดทั้ง 4 ชนิดไม่มีฤทธิ์ต้านทานอักเสบในสัตว์ทดสอบ ผู้ศึกษาวิจัยเชื่อว่าสารสกัดจากใบตำลึงรวมทั้งใบย่านางบางทีอาจจะออกฤทธิ์ระงับปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานศึกษาค้นคว้าจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องทดลองขั้นต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แม้กระนั้นไม่รู้ว่าจะส่งผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือเปล่า การศึกษาและทำการค้นพบนี้อาจเกี่ยวกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแม้กระนั้นโบราณได้ หากแต่ควรจะมีการศึกษาเสริมเติมต่อไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปวิเคราะห์ฤทธิ์สำหรับในการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการลดไข้แต่มีพิษต่อสัตว์ทดสอบ การค้นคว้าทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองชนิดเป็นอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) แล้วก็อัลติดอยู่ลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อตรวจสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดลองมีต้นเหตุจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์คล้าย curare จากการตรวจหาสูตรองค์ประกอบสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้อาจอยู่ในพวก aporphine alkaloids
การศึกษาทางพิษวิทยา พิษเฉียบพลัน แล้วก็กึ่งเรื้อรังของย่านาง ศึกษาพิษกะทันหันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของ
ย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ แล้วก็เพศเมีย ประเภทละ 5 ตัว ในขนาด 5,000 mg/kg เพียงครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น และ ไม่มีการแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างจากปกติ รวมทั้งไม่มีการตาย หรือการเปลี่ยนแปลงของเยื่อด้านใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู ปริมาณ 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กก. (คิดเป็นปริมาณ 6,250 เท่าของปริมาณที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ การเรียนพิษเรื้องรัง ทดลองโดยป้อนสารสกัดแก่ตัวทดลอง เพศผู้ และก็เพศเมีย ประเภทละ 10 ตัว ทุกๆวัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 แล้วก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันนาน 90 วัน ไม่พบความเปลี่ยนไปจากปกติทางด้านการกระทำ แล้วก็สุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง แล้วก็กรุ๊ปควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 และ 118 โดยตรวจร่างกาย รวมทั้งมีกลุ่มที่ติดตามผลต่อไปอีก 118 วัน ผลของการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าชีวเคมีในเลือด และเยื่ออวัยวะภายใน ไม่เจอการเกิดพิษ ผลการศึกษาเรียนรู้ชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่นำมาซึ่งพิษเฉียบพลัน แล้วก็พิษครึ่งเรื้อรังในตัวทดลอง ในหนูเพศผู้ แล้วก็เพศเมีย
คำแนะนำ/ข้อควรคำนึง- เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรจะดื่มในทันที ด้วยเหตุว่าถ้าหากทิ้งเอาไว้นานเหลือเกินจะกำเนิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือมีการบูดขึ้นได้ แต่สามารถเอามาแช่ตู้แช่เย็นได้ และควรจะดื่มให้หมดด้านใน 3 วัน
- สำหรับเพื่อการกินน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนอาหารหรือตอนท้องว่างโดยประมาณครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
- บางบุคคลที่รู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว รับประทานยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วนำมาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรชนิดอื่นๆก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้กระทั้งน้ำหวานก็ได้เหมือนกัน
- ควรจะดื่มปริมาณแต่ว่าพอดิบพอดี หากดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้ลดลง
เอกสารอ้างอิง- Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
- อัจฉราภรณ์ ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
- รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
- Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
- ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
- ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดชั่น และต้านจุลชีพของสารสกัดผักพื้นบ้านและสมุนไพรอีสาน,วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน
- Janeklang S, Nakaew A, Vaeteewoott