รับทำSEOราคาถูก รับโปรโมทเว็บราคาถูก รับโพสเว็บราคาถูก รับจ้างโฆษณาสินค้าราคาถูก

อุปกรณ์ออกบูธ

รับทำseoราคาถูก, รับดันอันดับเว็บ, รับโปรโมทเว็บราคาถูก รับติดแบนเนอร์ รับติดตั้งตาข่ายกันนก รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์

รับติดแบนเนอร์ ตอกเสาเข็ม, ขายเสาเข็ม, ขายแผ่นพื้น, ปั้นจั่น, รับผลิตเสาเข็ม รับติดแบนเนอร์ ไนโตรเจนเหลว รับติดแบนเนอร์ รับติดแบนเนอร์

รับทำseoราคาถูก, รับโปรโมทเว็บไซต์, รับดันอันดับเว็บไซต์, รับทำเว็บไซต์, ออกแบบเว็บไซต์ราคาถูก, รับประกันติดgoogle

**ประกาศ!! เนื่องจากต้นทุนค่าโฮสติ้งสูงขึ้นมาก รบกวนสมาชิกใหม่(สมัครใหม่จะยังไม่อนุมัติ จนกว่าจะโอน) และเก่า(ทุกUserจะโดนลบ หากไม่โอนช่วย) โอนช่วยค่าโฮส ปีละ 200 บาท ด้วยนะครับ ติดต่อ Add Line : @posthitz

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง  (อ่าน 62 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

bilbill2255

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 43
    • ดูรายละเอียด

Permalink: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคกระดูกรุน เป็นยังไง โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปแล้ว เป็นสภาวะที่ปริมาณธาตุ (ที่สำคัญเป็นแคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นองค์ประกอบข้างในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงบอบบางแตกหักง่าย รอบๆที่พบการหักของกระดูกได้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อมือ สะโพก และสันหลัง  ส่วนคำนิยามของภาวะกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน หมายถึง สภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) น้อยลงซึ่งมีผลให้กระดูกเปราะบาง และก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นหลักเกณฑ์สำหรับในการวิเคราะห์ภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1994 โดยเทียบเทียงค่า BMD ของคนป่วยกับของวัยเอ๊าะๆที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นหลักเกณฑ์ คนที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) น้อยกว่า -2.5 วิเคราะห์ว่ามีภาวะกระดูกพรุน ในตอนที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 นับว่ามีภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกธรรมดา
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนวัยแก่ โดยเฉพาะในหญิงวัยหมดระดู (มักไม่ค่อยเจอในเด็กและคนวัยหนุ่มวัยสาว เว้นเสียแต่ในกรณีที่มีสภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยสตรีมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึงร้อยละ 30-40 ในเวลาที่เพศชายได้โอกาสจำนวนร้อยละ 13 โดย เพศหญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกหลังหมดระดู กระดูกจะบางลงเร็วมาก ชี้แจงได้ว่ามีสาเหตุจากการที่ขาดฮอร์โมนผู้หญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกเหนือจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังเกิดขึ้นจากความเสื่อมถอยตามวัยซึ่งพบได้ทั้งในผู้ชายและก็สตรี  และเป็นโรคที่คนจำนวนมากมักมองข้ามเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการจนกว่าจะเกิดภาวะเข้าแทรก(การหักของกระดูกต่างๆเป็นต้นว่า กระดูกข้อมือ กระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง) ทำให้คนส่วนมากมิได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันการกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆจากที่กล่าวมา (โดยเฉพาะกระดูกสะโพก)
                จากการคาดราวๆขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีผู้เจ็บป่วยเหตุเพราะกระดูกบั้นท้ายหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งมากขึ้นจากการแถลงการณ์ในปี คริสต์ศักราช 1990 ที่มีปริมาณคนเจ็บเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เพราะเหตุว่าภาวการณ์กระดูกพรุนมีความเกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เลยสะท้อนถึงปริมาณผู้ที่มีสภาวะกระดูกพรุนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างเร็วในตอนศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกรุ๊ปทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในปริมาณพลเมือง
กระดูกสะโพกหักทั้งโลกในปี คริสต์ศักราช1990 ปริมาณร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและก็ในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะราษฎรผู้ป่วยกระดูกบั้นท้ายหักถึงจำนวนร้อยละ 50 ของประชากรโลกทั้งหมด
สำหรับเมืองไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีการศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แต่ว่าจากสถิติจำนวนประชาชนคนชราของเมืองไทยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะเจอโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยพบสภาวะกระดูกพรุนรอบๆสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% รอบๆกระดูกสะโพก 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในสตรีวัยหมดระดูที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้ปริมาณ 289 ครั้งต่อราษฎร 1 แสนรายต่อปี
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน เพราะว่ากระดูกมี โปรตีน คอลลาเจน แล้วก็แคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างแล้วก็ย่อยสลายอยู่ตลอดระยะเวลา พูดอีกนัยหนึ่ง ขณะที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากของกินที่รับประทานเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดแล้วก็ถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ ธรรมดาในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต มวลกระดูกจะเบาๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุราวๆ ๓๐-๓๕ ปี ต่อไปจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากยิ่งกว่าการผลิต ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะ ในสตรีระยะหลังวัยหมดระดู ซึ่งมีการต่ำลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนประเภทนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนจำพวกนี้ก็จะมีผลให้กระดูกบางตัวลงอย่างเร็ว จนถึงเกิดภาวะกระดูกพรุน
ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่นอนยังไม่เคยทราบ แต่ว่าในพื้นฐานพบว่ามีเหตุมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) แล้วก็เซลล์ดูดซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองแบบนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลเกิดได้จากหลายกรณีเป็น

  • อายุ: อายุที่มากขึ้น เซลล์ต่างๆก็เลยเสื่อมลงรวมทั้งเซลล์สร้างกระดูก การสร้างกระดูกก็เลยลดน้อยลง แต่ว่าเซลล์ทำลายกระดูกยังดำเนินการได้ตามเดิมหรืออาจทำงานมากขึ้น
  • ฮอร์โมน - การลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในเพศหญิง อย่างการเข้าสู่วัยหมดระดู ก็เป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้กระดูกพรุนแล้วก็เปราะบางลง ส่วนในผู้ชายจะมีการเสี่ยงกำเนิดโรคกระดูกพรุนเมื่อมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ต่ำลง
  • กรรมพันธุ์ - ผู้ที่มีญาติใกล้ชิดทางเชื้อสายที่มีประวัติป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับกรรมพันธุ์โรคดังกล่าวข้างต้นไปด้วย
  • ความแตกต่างจากปกติสำหรับในการทำงานของต่อมรวมทั้งอวัยวะต่างๆ- ดังเช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ไตและตับดำเนินงานไม่ดีเหมือนปกติ
  • โรคแล้วก็การเจ็บป่วย - คนป่วยที่มีสภาวะกระดูกพรุนอาจเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆดังเช่น โรคที่เกี่ยวโยงกับตับ ไต กระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินอาหาร กรดไหลย้อน โรคความผิดปกติทางการรับประทาน โรคภูมิแพ้ตัวเอง โรคแพ้กลูเตน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งกระดูก
  • การบริโภค - รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความอยากของร่างกายสำหรับในการสร้างกระดูกแล้วก็การเติบโต รับประทานอาหารที่ทำให้แคลเซียมเสียสมดุล อย่างอาหารประเภทโปรตีนซึ่งได้มาจากเนื้อสัตว์ซึ่งมีความเป็นกรดสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งดูดบุหรี่
  • การใช้ยา - ผู้ที่ป่วยไข้และก็จำเป็นต้องรักษาด้วยยาบางชนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ดังเช่น กลุ่มยาสเตียรอยด์ ก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเหมือนกัน เพราะเหตุว่าตัวยาบางประเภทจะออกฤทธิ์ไปรบกวนแนวทางการสร้างกระดูก ตัวอย่างเช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone)
  • การใช้ชีวิตประจำวัน - การนั่งหรืออยู่ในท่าทางท่าใดท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน หรือการขาดการบริหารร่างกายอย่างเพียงพอ


ลักษณะของโรคกระดูกพรุน ส่วนมากมักจะไม่มีอาการแสดง จนกว่าเกิดแตกต่างจากปกติขององค์ประกอบกระดูก ดังเช่นว่า ปวดข้อมือ สะโพก หรือหลัง (เพราะกระดูกข้อมือ สะโพก หรือสันหลังแตกหัก) ส่วนสูงต่ำลงจากเดิม (เนื่องมาจากการหักรวมทั้งยุบของกระดูกสันหลัง ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว เป็นต้น) ถ้าเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ
อีกทั้งผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะมีความเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ทั่วไปชองสภาวะกระดูกพรุนโดยยิ่งไปกว่านั้นกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และก็กระดูกข้อมือ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการ
สูญเสียทั้งเศรษฐกิจของประเทศแล้วก็คุณภาพชีวิตของคนป่วย รวมทั้งโดยส่วนมากจะเกิดจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงหรือมีแรงชนต่ำ อาทิเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มถือของหรือยกของหนัก, ซี่โครงหักแค่เพียงไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือยันตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกบั้นท้ายหักจากก้นชนกับพื้น ฯลฯ
กรรมวิธีรักษาของโรคกระดูกพรุน ด้วยเหตุว่าภาวะกระดูกพรุนส่วนมากไม่ปรากฏอาการแสดงที่ผิดปกติจนกว่าจะเกิดการหักของกระดูก และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้แก่ ลักษณะของการปวดเกิดขึ้น การตรวจแล้วก็วิเคราะห์การสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะมีการหักของกระดูกจึงเป็นหัวข้อหลัก โดยหมอจะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากความเป็นมาอาการ ประวัติความเป็นมาป่วยหนักต่างๆเรื่องราวออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย รวมทั้งจะกระทำวิเคราะห์ด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density)  แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าปกติในเพศและอายุตอนเดียวกัน ถ้าหากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

  • กระดูกปกติ (Normal bone)เป็นกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ในตอน 1 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าถัวเฉลี่ย (-1 SD)
  • กระดูกบาง (Osteopenia)เป็นกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ระหว่างตอน -2.5 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (-1 ถึง -2.5 SD )
  • กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ กระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำยิ่งกว่าค่าถัวเฉลี่ยเกินกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ต่ำลงมากยิ่งกว่า -2.5 SD)
  • กระดูกพรุนอย่างรุนแรง (Severe or Established osteoporosis) คือ กระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำลงยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยมากยิ่งกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานร่วมกับการมีกระดูกหัก


การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นแนวทางการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องชัดเจนถูกต้องแม่นยำที่สุดสำหรับในการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้จะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแต่จำนวนร้อยละ  1 ก็ตาม แนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกรวมทั้งหยุดหรือลดรูปแบบการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก
โดยหมอจะมีแนวทางการดูแลรักษาคนที่มีภาวะกระดุพรุน ดังต่อไปนี้

  • สำหรับคนเจ็บที่มีกระดูกพรุน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้รับประทานแคลเซียม ตัวอย่างเช่น แคลเซียมคาร์บอเนต ครั้งละ ๖๐๐-๑,๒๕๐ มก. วันละ ๒ ครั้ง และอาจให้วิตามินดีวันละ ๔๐๐-๘๐๐ มก. ร่วมด้วยในรายที่อยู่แม้กระนั้นในร่ม (มิได้รับแดด) ตลอดระยะเวลา
  • สำหรับหญิงข้างหลังวัยหมดประจำเดือน หมออาจตรึกตรองให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนชดเชย ดังเช่น conjugated equine estrogen (ชื่อทางด้านการค้า อาทิเช่น Premalin) ๐.๓-๐.๖๒๕ มิลลิกรัม หรือ micronized estradiol ๐.๕-๑ มก. วันละครั้ง ในรายที่มีข้อกำหนดใช้หรือมีผลใกล้กันมาก บางทีอาจให้ราล็อกซิฟิน (raloxifene) แทนในขนาดวันละ ๖๐-๑๒๐ มก. ยานี้ออกฤทธิ์เหมือนเอสโทรเจน แต่ว่าส่งผลใกล้กันน้อยกว่า
  • สำหรับเพศชายชราที่มีภาวะฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย อาจจำเป็นต้องให้ฮอร์โมนจำพวกนี้เสริม
นอกนั้น อาจพิเคราะห์ให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม รวมทั้ง/หรือยาลดการสลายกระดูกเสริมเติมแก่คนเจ็บบางราย ได้แก่

  • ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate) ที่นิยมใช้ได้แก่ อะเลนโดรเนต (alendronate) ๑๐ มิลลิกรัม ให้รับประทานวันละ ๑ ครั้ง หรือ ๗๐ มก. อาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก รวมทั้งเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ป้องกันการแตกหักของกระดูกสันหลังแล้วก็สะโพก เหมาะกับคนป่วยชาย คนป่วยหญิงที่ไม่ได้รับฮอร์โมนทดแทน แล้วก็ใช้คุ้มครองภาวะกระดูกพรุนในผู้ที่จำเป็นต้องกินยาสตีรอยด์นานๆ
  • แคลซิโทนิน (calcitonin) มีทั้งชนิดพ่นจมูกและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก แล้วก็มีคุณประโยชน์สำหรับในการใช้ลดลักษณะของการปวด เพราะว่าการแตกหักและก็ยุบของกระดูกสันหลังอีกด้วย


ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องใช้ยาเป็นประจำ แพทย์จะนัดมาตรวจเป็นระยะ บางทีอาจต้องกระทำตรวจกรองมะเร็งเต้านมแล้วก็ปากมดลูก (สำหรับคนที่รับประทานเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก เป็นต้น
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ดังเช่นว่า กระดูกหัก ก็ให้การรักษา ยกตัวอย่างเช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด แนวทางการทำกายภาพบำบัด ฯลฯ
ในรายที่มีโรคหรือสภาวะที่เป็นต้นเหตุของโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมๆกัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคกระดูกพรุน ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนนั้น ปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 ชนิด คือ ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ และ ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (ตารางที่ 1) คนที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายสาเหตุก็จะได้โอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน แล้วก็จะได้โอกาสสูงที่จะเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดสภาวะกระดูกพรุน
ต้นเหตุที่ปรับแก้มิได้            เหตุที่ปรับปรุงได้

  • อายุ(คนวัยแก่ 65 ปีขึ้นไป)
  • เพศ (หญิง)
  • เชื้อชาติ (ชาวผิวขาวหรือชาวเอเชีย)
  • กรรมพันธุ์ (ประวัติคนภายในครอบคัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดา)
  • รูปร่างเล็ก ผอมบาง บาง
  • หมดประจำเดือน ก่อนอายุ 45
  • มีพยาธิสภาพที่จำเป็นต้องผ่าตัดเอารับไขทั้ง 2 ข้างออกก่อนหมดประจำเดือน
  • เคยกระดูกหักจากภาวการณ์กระดูกบอบบาง •             ขาดฮอร์โมนเพศ : estrogen
  • หมดเมนส์
  • กินแคลเซียมน้อย บริโภคเกลือรวมทั้งเนื้อสัตว์สูง
  • ดูดบุหรี่ กินเหล้า ดื่มกาแฟ
  • ขาดการบริหารร่างกาย
  • ได้รับยาบางจำพวก ได้แก่ glucocorticosteroids และก็ thyroid hormone เป็นต้น
  • เป็นโรคบางประเภท เช่น chronic illness, kidney disease , hyperthyroidism , รวมทั้ง Cushing’s syndrome เป็นต้น
  • มี BMI (ดัชนีมวลกาย)ต่ำยิ่งกว่า 19 กิโล/ตารางเมตร


การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดน้อยกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากกลไกการเสื่อมสลายของเซลล์สร้างกระดูก ทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็เซลล์ซึมซับทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีมากไม่น้อยเลยทีเดียวหลายสาเหตุ แม้กระนั้นโรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน

  • กินวิตามินเกลือแร่เสริมของกิน หรือยาต่างๆตามหมอเสนอแนะ
  • การกินอาหารมีคุณประโยชน์ 5 กลุ่มครบบริบรูณ์ทุกวี่ทุกวันในปริมาณเหมาะสมที่
  • บริหารร่างกายบ่อยพอควรกับสุขภาพ
  • หลบหลีกปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้
  • ไปพบแพทย์ดังที่แพทย์นัดเสมอๆ
  • หมั่นดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบ้าน รวมทั้งไม่วางของเกะกะตามทางเดินที่อาจจะทำให้ลื่นล้มหรือเกิดการกระแทกจนถึงทำให้กระดูกหักได้
การคุ้มครองตัวเองจากโรคกระดูกพรุน

  • ผู้ที่อยู่ในกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนตามที่กล่าวมา ควรจะหารือหมอเพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน ตัวอย่างเช่น หญิงวัยหมดระดู, คนสูงอายุ, คนที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆ, คนที่มีโรคที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน เป็นต้น
  • กินแคลเซียมให้เพียงพอทุกวี่ทุกวันให้เพียงพอต่อความอยากได้ของร่างกาย(ดังตารางดังที่กล่าวมาแล้ว)


อายุจำนวนแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day)
แรกเกิด – 6 เดือน
6 เดือน – 1 ปี
1 ปี – 5 ปี
6 ปี – 10 ปี
11 ปี – 24 ปี
ผู้ชาย
25 ปี – 65 ปี
มากยิ่งกว่า 65 ปี
เพศหญิง
25 ปี – 50 ปี
มากกว่า 50 ปี (ข้างหลังวัยหมดระดู)
 
อายุ        400
600
800
800-1200
1200-1500
1000
1500 
1000
 
 
จำนวนแคลเซียมที่อยาก (mg/day)
  -ได้รับการดูแลรักษาด้วย estrogen
  - ไม่ได้รับการรักษาด้วย estrogen
อายุมากกว่า 65 ปี
ระหว่าท้อง หรือให้นมลูก            1000
1500
1500
1200-1500
โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง ยกตัวอย่างเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้กระดูก (เช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (ดังเช่น คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว
แนวทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและก็วัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่และผู้สูงวัยดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเป็นประจำ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมปริมาณร้อยละ 50 ของปริมาณที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้กินจากอาหารแหล่งอื่นๆประกอบ
ผู้ใหญ่บางบุคคลที่มีข้อกำหนดในการดื่มนม (ตัวอย่างเช่น มีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้เยอะขึ้น

  • บริหารร่างกายเสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต้านทานน้ำหนัก (weight bearing) ตัวอย่างเช่น การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก รำมวยจีน เต้นรำ ฯลฯ ร่วมกับการกีฬายกน้ำหนัก จะช่วยทำให้มีมวลกระดูกเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็กระดูกมีความแข็งแรง ทั้งแขน ขา และก็กระดูกสันหลัง
  • รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้ต่ำลงยิ่งกว่ากฏเกณฑ์ (ซูบผอมเกินความจำเป็น) เพราะคนซูบผอมจะมีมวลกระดูกน้อย มีความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้
  • รับแดด ช่วยทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร็โมนกระตุ้นการผลิตกระดูก ในบ้านพวกเราคนจำนวนมากจะได้รับแสงแดดเพียงพออยู่แล้ว นอกเหนือจากในรายที่อยู่แม้กระนั้นในบ้านตลอดเวลา ก็ควรออกไปรับแสงแดดอ่อนๆรุ่งแจ้งหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที อาทิตย์ละ 3 วัน ถ้าอยู่แต่ในที่ร่ม ผิดแสงแดด อาจจะต้องรับประทานวิตามินดีเสริมวันละ 400-800 มก.
  • หลบหลีกการกระทำที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน ดังเช่น
  • ไม่กินอาหารจำพวกโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากจนเกินไป ด้วยเหตุว่าอาหารเหล่านี้จะทำการกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากเกินปกติ
  • ไม่กินอาหารเค็มจัดหรือของกินที่มีโซเดียมสูง เนื่องจากว่าเกลือโซเดียมจะมีผลให้ไส้ดูดซับแคลเซียมได้ลดน้อยลง แล้วก็เพิ่มการขับแคลเซียมทางไตเยอะขึ้น
  • ไม่กินน้ำอัดลมจำนวนมาก เพราะว่ากรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมทำให้เกิดการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูกเยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ในปริมาณมาก เพราะแอลกอฮอล์รวมทั้งคาเฟอีนในเครื่องดื่มกลุ่มนี้จะกัดกันการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่ควรดื่มเกินวันละ ๓ แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ ๒ หน่วยดื่ม ซึ่งเท่ากันแอลกอฮอล์สุทธิ ๓๐ มิลลิลิตร)
  • งดการสูบบุหรี่ เพราะว่าบุหรี่กระตุ้นให้เกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากขึ้น (เนื่องมาจากลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
  • ระวังการใช้ยาบางชนิด ดังเช่นว่า ยาสตีรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกมาจากร่างกาย
  • รักษาโรคหรือภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคระอุชชิง
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง / รักษาโรคกระดูกพรุน
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่สมัยก่อน ในพระคัมภีร์สรรพลักษณะ พูดถึงสรรพคุณของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ชอบแก้ลมทั้งผองแล" ในหนังสือเรียนหมอแผนโบราณทั่วไป สาขาการปรุงยา ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า "เพชรสังฆาต" มีคุณประโยชน์ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์พื้นบ้านนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้
ปัจจุบันนี้ได้มีการค้นคว้าวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งยืนยันคุณประโยชน์รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก แล้วก็สารอที่นาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic  Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกและก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารไม่ววัวโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในขั้นตอนสมานกระดูก นอกเหนือจากนี้สารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนถึงกลายเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักรวมทั้งมีความยืดหยุ่นในตัวเอง
ผลการทดสอบการใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกรวมทั้งรักษากระดูกแตก กระดูกหักได้
ฝอยทองคำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. สกุล Convlvulaceae ในประเทศจีนแล้วก็บางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เม็ดฝอยทองสำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin แล้วก็ kaempferol เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol รวมทั้ง hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวชี้ในการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์ขึ้นต้น แล้วก็สาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106
ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนั้นยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ขึ้นรถ quercetin, kaempferol แล้วก็ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่ว่าเมื่อเปรียบกันในแง่ของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแค่สาร quercetin และก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้งตัวรับ estrogen จำพวก ERα/β โดยที่กลไกดังที่ได้กล่าวมาแล้วคาดว่าจะเทียบเคียงกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่รอบๆกระดูก ไขมัน หัวใจรวมทั้งเส้นโลหิต แต่ว่าออกฤทธิ์ยั้ง ER ที่รอบๆเต้านมและก็มดลูก
นอกเหนือจากนั้นสาร quercetin แล้วก็ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวพันกับการสร้างกระดูก เหมือนกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งหมดทำให้สรุปได้ว่าเมล็ดฝอยทองมีคุณภาพในการรักษาโรคกระดูกพรุน และก็สารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับในการสร้างเซลล์กระดูกคือ kaempferol และก็ hyperoside
เอกสารอ้างอิง

  • สุภาพ อารีเอื้อ,สินจง โปธิบาล .ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ : ทำไมต้องรอจนกระดูกหัก? .รามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่7.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2544 หน้า 208-218
  • Liscum B. Osteoprosis : The silent disease. Orthopaedic Nursing 1992; 11:21-5.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Gaisworthy TD & Wilson PL. Osteoporosis it steais more than bone, AJN 1996;96: 27-33.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคกระดูกพรุน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 396.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.เมษายน.2555



โฆษณาสินค้าฟรี ประกาศขายสินค้าฟรี โปรโมทเว็บฟรี