6 แนวทางตรวจสอบคุณภาพสายสัญญาณเสียง
สายสัญญาณเสียง คือเครื่องใช้ไม้สอยสำหรับใช้ในการเชื่อมต่อเครื่องเสียงกับเครื่องไม้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆโดยสายนี้จะเป็นตัวนำเสียงจากเครื่องไม้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ให้มาแสดงออก ณ เครื่องเสียง ช่วยทำให้สามารถเล่นไฟล์เสียงด้วยเสียงที่ดังขึ้นได้
ปัจจุบันนี้ เราสามารถหาซื้อสายสัญญาณเสียงได้ทั่วไปตามร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและก็เครื่องใช้ไม้สอยอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆมีสินค้าหลายรุ่น หลายแบรนด์ให้เราได้เลือกซื้อกัน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อสายสัญญาณเสียงบนท้องตลาดมีอยู่หลายรุ่น หลายแบรนด์ ทำให้คุณภาพของสินค้ามีความแตกต่างกันด้วย หากว่าเราได้สายสัญญาณเสียงที่มีคุณภาพดีมาใช้ดีแล้วไป แต่ถ้าพวกเราเผลอไปซื้อสายสัญญาณเสียง ที่มิได้คุณภาพมาใช้งานเข้า ก็ต้องเจอกับปัญหาระหว่างใช้งานหลายประการ อีกทั้งเสียงไม่ออก คุณภาพเสียงไม่ดี มีอายุการใช้งานสั้น ใช้ไปได้เล็กน้อยก็เสียแล้ว อีกทั้งสายสัญญาณเสียงนั้นเป็นสินค้าที่ไม่บางทีอาจประเมินคุณภาพด้วยราคาได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ราคาถูกหรือสินค้าราคาสูง ต่างก็มีทั้งยังคุณภาพดี คุณภาพไม่ดี และปัญหาในตนเองผสมปนเปกันไป ด้วยเหตุดังกล่าว เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีวิธีการพื้นฐานสำหรับวิเคราะห์ประสิทธิภาพสายสัญญาณเสียง เพื่อให้สามารถซื้อสินค้าที่มีคุณภาพมาใช้งานได้ต่อไป
.

.
การตรวจตราคุณภาพ สายสัญญาณเสียง เราสามารถทำเป็น 6 แนวทางดังต่อไปนี้
1. พิจารณาความแข็ง-ความอ่อนของสาย ข้อนี้เป็นสิ่งแรกที่พวกเราสามารถพิจารณาด้วยตนเองได้ แล้วก็ควรเช็คเป็นอย่างแรก เนื่องมาจากสายสัญญาณเสียงในตอนนี้มีการผลิตสายออกมาให้มีความแข็งแรงรวมทั้งความอ่อนแตกต่างกัน โดยธรรมดา สายสัญญาณเสียงที่แพงถูกมักจะมีสายค่อนข้างจะแข็ง ตอนที่สายสัญญาณเสียงราคาแพงๆชอบมีสายอ่อน ข้อแนะนำคือ ไม่สมควรซื้อสายสัญญาณเสียงที่แข็งเกินไป เนื่องจากว่าจะไม่สามารถพับสายได้ ถ้าพับ ม้วนเก็บสายย่อมสร้างปัญหา ในขณะเดียวกันก็ไม่สมควรซื้อสายสัญญาณเสียงที่อ่อนเหลือเกิน เนื่องจากว่ายิ่งอ่อนนิ่มมาก สายก็จะยิ่งบอบบาง เมื่อใช้ประโยชน์งานบ่อยๆย่อมมีการเสี่ยงสูงที่สายจะขาด หรือหักพับได้อย่างไม่ยากเย็นสายสัญญาณเสียงที่ดีเยี่ยมที่สุด ควรจะเป็นสายที่อ่อนพอจะสามารถพับได้อย่างไม่มีการเสียหาย แม้กระนั้นในขณะเดียวกันก็มีความแข็งแรงพอที่จะใช้งานได้อย่างไม่มีการฉีกจนขาด หากพวกเราพบว่าสายสัญญาณเสียงใดมีลักษณะเช่นนี้ สามารถซื้อมาไว้ใช้งานได้เลย
2. วิเคราะห์สิ่งของที่ใช้ในการทำหัวสายว่าคืออะไร สายสัญญาณเสียงที่ผลิตออกมาขายในตอนนี้นั้น มีการใช้โลหะอยู่ 2 จำพวกใหญ่ๆในการทำหัวสาย ตัวอย่างเช่น ทองเหลือง และก็อลูมินัม ขอแนะนำว่าควรที่จะเลือกใช้สายสัญญาณเสียงที่มีหัวสายเป็นทองบรอนซ์จะดีมากยิ่งกว่า เนื่องด้วยเป็นโลหะที่นำสัญญาณได้ดียิ่งไปกว่าอลูมินัม ไม่ค่อยพบปัญหาเสียงขาดเสียงหาย แม้จะทิ่มสายไม่แน่นก็ตาม ขณะที่อลูมินัม เป็นโลหะที่นำสัญญาณได้ไม่ดีนัก ถ้าเกิดเสียบไม่แน่นจะไม่สามารถที่จะนำสัญญาณเสียงได้ นอกนั้น ทองบรอนซ์ยังเป็นโลหะที่มีความทนทานสูง มีอายุการใช้งานช้านาน ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการหัก หรือการโค้งงอผิดรูปผิดร่าง ขณะที่สายสัญญาณเสียงที่มีหัวสายเป็นอลูมินัมนั้นจะต้องใช้งานอย่างรอบคอบ แม้ไม่ฟูมฟัก หัวสายจะหักหรือโค้งงอได้ง่ายในเวลาอันรวดเร็ว
3. วิเคราะห์การยึดระหว่างหัวสายกับสายไฟว่าเป็นยังไง มีการเชื่อมต่ออย่างสนิทดีหรือเปล่า โดยธรรมดาสายสัญญาณเสียงที่มีคุณภาพดีจะยึดจุดเชื่อมต่อระหว่างสายไฟกับหัวเสียบได้อย่างสนิท ในขณะที่สายสัญญาณเสียงคุณภาพต่ำมักยึดส่วนหัวสายกับสายไฟได้ไม่แน่น บางรุ่นทำเพียงแค่เอาสายใส่เข้าไปในหัวแบบไม่ได้ยึด สิ่งที่จะตามมาเมื่อใช้งานไปได้สักระยะ ก็คือ สายไฟหลุดออกมาจากหัวเสียบ และถ้าเกิดสายสัญญาณเสียงใดมีปัญหานี้ขึ้นมาย่อมไม่อาจจะซ่อมได้ จะต้องทิ้งสิ่งเดียว เพราะฉะนั้นสำหรับในการเลือกซื้อสายสัญญาณเสียง พวกเราก็เลยจำต้องวิเคราะห์จุดเชื่อมต่อระหว่างหัวเสียบกับสายไฟด้วย
4. สำรวจความยาวของโลหะหัวเสียบว่ามีความสั้นยาวแค่ไหน โดย สายสัญญาณเสียงที่ดี ต้องมีความยาวระหว่างโลหะหัวเสียบอยู่ที่ 2-5 ซม. เนื่องจากว่าเป็นความยาวที่สมควรสำหรับเพื่อการเสียบเข้ากับเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆได้โดยไม่มีการโยกหรือหลวม ทั้งยังทิ่มได้สนิท ไม่มีโลหะหัวเสียบโผล่พ้นขึ้นมา ถ้าเกิดเป็นสายสัญญาณเสียงที่มีความยาวของโลหะหัวเสียบสั้นเกินความจำเป็น จะไม่อาจจะแทงกับวัสดุอุปกรณ์ได้ เกิดปัญหาเสียงไม่ออก หรือเสียงมาเป็นตอนๆจำเป็นต้องรอประคองไว้ ส่วนถ้าหากโลหะที่ศีรษะเสียบมีความยาวมากเกินความจำเป็น เมื่อแทงกับอุปกรณ์จะมีผลให้มีโลหะนิดหน่อยโผล่ขึ้นมา แม้เผลอไปชนเข้าอาจจะเป็นผลให้สายเกิดการหักได้
5. วิเคราะห์ความยาวของสายไฟว่ามีมากน้อยเท่าใด ข้อนี้ถึงแม้จะมิได้มีผลต่อคุณภาพการใช้แรงงานโดยตรง แต่ก็สำคัญ เนื่องจากการซื้อ
สายสัญญาณเสียงที่มีความยาวเพียงพอต่อการใช้งาน จะช่วยทำให้สามารถต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวก ไม่เกิดปัญหาสายตึงรั้งเกินไปจนเสี่ยงต่อการหัก หรือหย่อนยานเกินไปจนกระทั่งกำเนิดความรู้สึกขวาง ซึ่งความยาวที่เหมาะสมของสายไฟขึ้นอยู่กับการใช้งานของเราว่าเป็นอย่างไร แม้เป็นสายสัญญาณเสียงสำหรับเสียบอุปกรณ์เครื่องเสียงในรถยนต์ หรือลำโพงทั่วๆไป ต้องมีความยาวอยู่ที่ 30-60 ซม. ส่วนหากเป็นสานสำหรับต่อลำโพงขนาดใหญ่ จะต้องลากสายยาวๆก็ต้องมีความยาวตั้งแต่ 1 เมตรขึ้นไป
6. พิจารณายี่ห้อของสาย ส่วนแบรนด์นี้ก็จัดว่ามีความสำคัญไม่แพ้กันในการเลือกซื้อสายสัญญาณเสียง โดยควรที่จะเลือกซื้อสายสัญญาณเสียงที่ทำขึ้นโดยยี่ห้ออันเป็นที่รู้จัก หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากยี่ห้อแปลกๆหรือสินค้าโนเนม เนื่องจากชอบเป็นสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ ได้โอกาสทรุดโทรมเสียหายได้ง่าย
วิธีสำหรับการเลือกซื้อ สายสัญญาณเสียง ให้ได้ประสิทธิภาพถือเป็นเรื่องที่เราจำต้องให้ความใส่ใจ เพื่อการเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กับเครื่องเสียงสามารถำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้การเล่นเสียงที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
ขอขอบคุณ
บทความ
สายสัญญาณเสียง ราคา :
https://www.dotlife.store/cable/audio-cable.html, dotlife
รีวิวสายสัญญาณเสียงจาก Pantip:
www.pantip.comTags : สายสัญญาณเสียง ราคา