ในบรรดากล้องถ่ายภาพดิจิตอลกับกล้องมิลเลอร์เลสที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบในบ้านเราพร้อมทั้งกระแสในทั่วโลกนั้น หากไม่พูดถึงยี่ห้อ ฟูจิ ก็อาจจะเหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่าง ในยุคปัจจุบัน
กล้องฟูจิ ราคาหลายหลากที่มีให้คัดเลือกซื้อหานั้น ได้ย่างเหยียบนั่งอยู่ในใจของผู้ที่รักการถ่ายภาพอย่างกว้างขวาง จัดว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบผลสำเร็จในสมัยนี้ มียอดขายในแต่ละปีสูงที่สุดในไทยพร้อมด้วยระดับต้นๆในทวีปเอเชียรวมไปถึงทั่วโลกในประเภทกล้องมิลเลอร์เลสนั้น กว่าจะข้ามมาจวบจนกระทั่งจุดนี้ได้ นับได้ว่าฝ่าเกลียวคลื่นมรสุมทางเศรษฐกิจและกระแสเทคโนโลยีที่บริษัทโบราณอย่าง Fujifilm ต้องพยายามตะกุยตะกายและวิ่งให้เฉียบแหลมอยู่เสมอ ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่า Fujifilm ก็ทำมันได้อย่างประหลาดเลยทีเดียว
ฟูจิ โฟโต้ ฟิล์ม ก่อตั้งเมื่อปี 1934 ตามแนวนโยบายของรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นในสมัยนั้นที่มุ่งจะมีบริษัทฟิล์มถ่ายภาพเป็นของตนเอง และมีการเติบโตมาอย่างไม่ขาดสายตามลำดับ จนปี 1965 จึงได้เข้าทำสาขาสำนักงานที่อเมริกาและทั่วโลก กับทั้งในปี 1995 ฟูจิก็ตัดสินใจย่างก้าวเข้ามาลุยตลาดแข่งขันกับเจ้าวงการในอเมริกากับในตลาดโลกอย่าง โกดัก ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 90% ฟูจิกลับใช้กลยุทธ์พลิกมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากโกดักได้ยิ่งกว่า เป็นเหตุให้มีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเป็น 33% ในปี 1995 พร้อมกับขยายอีกเป็น 60% ในปี 1996 ที่ในตอนนั้นทั้ง
กล้องฟูจิฟิล์ม และโกดักต่างแข่งขันกันที่จะเป็นเจ้าตลาดฟิล์ม แต่หารู้ไม่ว่ามีคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่ที่กำลังถาโถมเตรียมที่จะเข้ามาแทนที่อยู่เสมอ
ช่วงจุดเปลี่ยน ช่วงรุนแรงของธุรกิจกล้องถ่ายรูปฟิล์มคือคราวปี 2000 ต้นๆ ในคราวที่บริษัท SONY กับ HP เบิกฤกษ์กล้องถ่ายภาพดิจิตอลขึ้นมาเป็นทีแรกพร้อมกับสามารถเรียกจุดสนใจจากคนรักการบันทึกภาพไปได้ใช่เล่นเลยทีเดียวในตอนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของ smart phone และ social media ยิ่งกว่านั้นการบันทึกภาพดิจิทัลนั้น ย่อมเยากว่า ง่ายๆกว่า และเร็วทันใจกว่ามาก จึงทำให้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป บริษัทอีสต์แมนโกดักในตอนนั้นเอาแต่คิดว่าการใช้ฟิล์มจะดำรงอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง ได้แก่มิตกลงฮวบฮาบอย่างแน่แท้ ดังนั้นโกดักจึ่งยังถือเอาว่าจะเก็บความนิยมกล้องถ่ายภาพฟิล์มไปอีกสักระยะนึง แต่ฟูจิเห็นว่าสุดท้ายแล้ว ดิจิตอลต้องมากัดกินเนื้อกิจการฟิล์มอย่างแน่นอนอีกทั้งรวดเร็วด้วย CEO ของบริษัทก็ได้ตัดสินใจที่จะนำหน่วยงานเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล
ที่จริงแล้วกล้องดิจิตอลที่ผลิตขึ้นมาได้บนโลกเครื่องแรกๆนั้นก็เป็นของบริษัทโกดักนั้นแหละ ที่อุตส่าห์สร้างเนรมิตขึ้นมาได้แต่ผู้บริหารไม่สานต่ออย่างจริงจัง กลับเห็นเป็นเหมือนสิ่งที่จะมาบั่นทอนกิจการหลักคือฟิล์มถ่ายรูป ผิดแผกจากระดับผู้บริหารของ ฟิจิฟิล์ม ที่ถึงแม้ว่าจะมิได้ริเริ่ม แต่ทว่าก็ไม่มีวันตกเทรนด์ ได้พัฒนากล้องถ่ายภาพดิจิตอลออกสู่ตลาดอย่างจริงจัง ผู้บริหารฟูจิมีโลกทัศน์ที่ต่างจากผู้บริหารโกดัก ที่เตรียมการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อีกทั้งเคยได้ใช้นวัตกรรมที่ตนเองมีและเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ดำรงสภาพสีบนแผ่นฟิล์ม มาปรับใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์แทน โดยเฉพาะนวัตกรรม collagen ที่ช่วยรักษาสภาพความชุ่มชื้น กับความอ่อนเยาว์ของผิวได้ ออกยี่ห้อเครื่องสำอางค์ภายใต้ชื่อ Astalift ในปี 2007 พร้อมกับวางขายในตลาดจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศในยุโรป ซึ่งปัจจุบันนี้ทำเงินให้บริษัทกว่า 3.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ไม่ใช่แค่นั้น
Fujifilm ยังนำเทคโนโลยี Digital Camera Tech ประยุกต์ใช้กับเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ สำหรับการเก็บภาพเพื่อวินิจฉัยโรค พร้อมกับพัฒนาการผลิตยาเยียวยาโรคมะเร็ง และโรคความจำเสื่อม ลดงบประมาณการพัฒนาด้าน Film & Analog ลงให้มากที่สุด
การอยู่รอดของ Fujifilm ในสมัยปัจจุบันที่ยังคงมีกล้องฟูจิ ราคาหลายหลากให้ได้เลือกจับจ่ายกันอยู่นั้น กุญแจสำคัญคือการมองวิสัยทัศน์และการรับทราบการเปลี่ยนทิศทางของกระแสลมเทคโนโลยีของท่านประธาน Shigetaka Komori, CEO of Fujifim ซึ่งมีเซนส์ของความระมัดระวังภัยยิ่งกว่าบริษัทอื่นใด ด้วยเหตุว่าเห็นเทรนด์ดิจิตอลพร้อมๆ กันกับยี่ห้ออื่นแต่เชื่อว่าวงการฟิล์มจะสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพราะฟิล์มเป็นกิจการค้าหลัก ถ้าไม่สามารถปรับตัวได้อย่างทันทีทันใดและสร้างธุรกิจใหม่ทันท่วงที ชะตากรรมก็คงไม่พ้นจากการหมดเนื้อหมดตัว และข้อแก้ไขสถานการณ์จากการเห็นภัยอันตรายจากเทคโนโลยีที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดแล้วไม่หยุดอยู่กับที่เปลี่ยนวิสัยทัศน์และกลยุทธ์องค์การให้เข้ากับเหตุการณ์สมัยปัจจุบันขณะนั้นๆให้มากที่สุด ชี้ให้เห็นให้เราเห็นว่าเราไม่ควรที่จะหยุดอยู่กับที่ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่เห็นความน่าจะเป็นที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในภาคหน้านั่นเอง
Tags : กล้องฟูจิ,กล้องฟูจิ ราคา,Fujifilm