โกศเขมาชื่อสมุนไพร โกศเขมาชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น โกศหอม (ไทย) , ซังตุ๊ก (จีนแต้จิ๋ว) , ซางจู๋ (จีนกลาง)ชื่อวิทยาศาสตร์ Atractylodes lancea (Thunb.) DC.ชื่อสามัญ Atractylodesวงศ์ Compositaeถิ่นกำเนิด โกศขมา มีบ้านเกิดเมืองนอนในภาคอีสานของประเทศจีนและก็แมนจูเรีย แถมมณฑลเหอดกน เจียงซู หูเป่ย ซานตง อันฮุย เจ๋อเจียง เจียงซีเสฉวน อื่นๆอีกมากมาย แหล่งผลิตที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม คือ มณฑลเหอครึ้มน แต่แหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุด คือ เขตหูเป่ย
ทั้งนี้ โกศเขมา มีเขตผู้กระทำระจายจำพวกในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และรัสเซียโดยมักจะพบหญ้า ในป่า รวมทั้งตามซอกหิน
ลักษณะทั่วไป โกศเขมา จัดเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง30-100 เซนติเมตร เหง้าทอดนอนหรือตั้งขึ้น มีรากพิเศษขนาดเท่าๆกันเยอะมาก โดยเหง้าออกจะกลมหรือยาว รูปทรงกระบอกมีกลิ่นหอมยวนใจมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 1-2 ซม. ผิวมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ ตะปุ่มตะป่ำ เปลือกเหมือนผิวมะกรูด มีสีน้ำตาลอมเทา สีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลปนดำ มีรอยย่นและก็รอยบิดตามขวาง เนื้อในแน่น เมื่อฝานหัวออกใหม่ๆจะเป็นสีขาวขุ่นที่เนื้อใน แล้วก็มีแต้มสีแสดของชันน้ำมันอยู่กระจายทั่วๆไปมีกลิ่นหอมเฉพาะ รสหวานอมขมนิดหน่อย แล้วก็เผ็ดร้อน โดยเหง้าใต้ดินนี้เป็นส่วนที่ใช้ทำยาโดยจะเรียกว่า “โกฐเขมา” ส่วนลำต้นขึ้นโดดเดี่ยวหรือเป็นกระจุก ไม่แตกกิ่งหรือแตกกิ่งเฉพาะตอนบน มีขนคล้ายใยแมงมุมนิดหน่อย
ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงเวียนแผ่นใบบางคล้ายกระดาษซึ่งมีหลายแบบอย่างแต่โดยมากเป็นรูปหอกหยักซี่ฟัน ใบใกล้โดนต้นรูปไข่ กว้าง 5-8 ซม. ยาว 8-12 ซม. ขอบเรียบหรือหยักแบบขน 3-5 แฉก แฉกข้างรูปรีหรือรูปไข่กลับปนรี แฉกปลายรูปกลม รูปไข่กลับ รูปไข่ หรือรูปรี ก้านใบสั้น ใบบริเวณกลางต้นรูปไข่กลับ รูปไข่กลับแกมรี รูปรีแคบ หรือรูปใบหอกกลับ
ช่อดอกออกเป็นแบบช่อกลุ่มแน่น ออกคนเดียวหรือหลายช่อ ตามปลายกิ่ง วงใบตกแต่งมี 5-7 แถวขอบมีขนเหมือนใยแมงมุมบางส่วน ปลายมน ใบประดับประดาวงนอกรูปไข่ถึงรูปใบหอก กว้าง 2-3 มม.ยาว 3-6 มิลลิเมตร ใบประดับกึ่งกลางรูปไขถึงรูปไข่ปนรี หรือรูปรี กว้าง 3-4 มิลลิเมตร ยาว 0.6-1 ซม. ใบแต่งแต้มวงในรูปรีถึงรูปแถบ กว้าง 2-3 มิลลิเมตร ยาว 1.1-1.2 ซม. ปลายใบประดับในสุดอาจมีสีแดง ข้างบนของฐานดอกแบน มีเกล็ดหนาแน่น ดอกสีขาวเป็นดอกสมบูรณ์เพศ หรือดอกเพศภรรยาที่มีเกสรเพศผู้ลดรูป กลีบสะอาดเป็นขน สีน้ำตาลถึงขาวหมอง มี 1 แถว โคนติดกันเป็นวง ยาว 7-8 มม. กลีบดอกยาวประมาณ 9 มิลลิเมตร ปลายเป็น 5 หยัก เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดที่หลอดกลีบดอกไม้ รังไข่อยู่ได้วงกลีบ มี 1 ช่อง ก้านยอดเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นสามเหลี่ยมมีขนนุ่ม เกสรเพศเมีย แยกเป็น 2 แฉก ผลแบบผลแห้งเม็ดล่อน รูปไข่กลับ
การขยายพันธุ์ โกศเขมา สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เหง้า เช่นเดียวกับพืชหัวธรรมดา โดยเกฐเขมาสามารถเติบโตก้าวหน้าในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 700-2500 เมตร และอุณหภูมิที่สมควร เป็น 15-22 องศาเซลเซียส เป็นพืชซึ่งสามารถทนต่ออากาศหนาวเย็นได้ และเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตดีมาก โดยสามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่นานาประการทั้งยังบนเขา ช่องเขา ที่ราบบนเขา ซึ่งอยากชั้นดินที่ครึ้มแล้วก็ลึก เป็นดินร่วนอุดมสมบูรณ์ การระบายน้ำดี ไม่ชอบอุทกภัยขัง และก็จะเจริญวัยได้ดิบได้ดีมาก รอบๆพื้นดินที่ไม่สูงนักและเป็นดินร่วนซุยปนทราย โกศเขมามีดอกและสำเร็จตั้งแต่มิ.ย.ถึงต.ค.มีอายุการเก็บเกี่ยวราวๆ 2 ปี
องค์ประกอบทางเคมี โกฐเขมามีองค์ประกอบทางเคมีเป็นน้ำมันระเหยง่ายจำนวนร้อยละ 3.5-5.6 น้ำมันระเหยง่ายนี้มีสารสำคัญคือ สารเบตา-ยูเดสมอล (beta-eudesmol) สารอะแทร็กครั้งโลดิน (atractylodin), beta-selinene, alpha-phellandrene, สารไฮนีซอล (hinesol) สารเอลีมอล (elemol) แล้วก็สารอะแทร็กหนลอน (atractylon) แล้วก็ สารกรุ๊ปpolyacetyletylenes เช่น1-(2-furyl)-E-nonene-3,5-diyne-1,2-diacetata, erythro-(1,5E,11E)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate, threo-(1,5E,11E)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate, (3E,5E,11E)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate, (3Z,5Z,11Z)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate, (3E,5Z,11E)-tridecatriene-7,9-diyne-3,4-diacetate,(3Z,5E,11E),tridecatriene-7,9-diyne-5,6-diyldiacetate,(1Z)-atractylodin,(1Z)-atractylodinol,(1Z)-acetylatractylodinol(4E,6E,12E)-tetradecatriene-8,10-diyne-1,3-diyl diacetate,4,6,12-tetradecatriene-8,10-diyne-1,3,14-สารกลุ่ม polysacchaccharides อาทิเช่น arabino-3,6-galactans,galacturonic acid รวมทั้งสารกลุ่มอื่นๆดังเช่นว่า coumarins (osthol) วิตามินเอ (vetinol) วิตามินบี (thiamine) วิตามินดี(calcifrol) กรดไขมัน (linoleic acid, oleic acid แล้วก็ palmitic acid)ผลดี/สรรพคุณ
โกศเขมา เป็นสมุนไพรที่ใช้ในยาหลายตำรับมากมาย อีกทั้งในแบบเรียนหมอแผนจีนและแผนไทย มีการยืนยันอยู่ในตำรับยาแห่งประเทศเมืองจีน ฉบับคริสต์ศักราช 2000 ในชื่อ Rhimosa atractylodis สำหรับประเทศไทยก็มีการใช้มากมาย ตัวยาสมุนไพรที่มีการขึ้นบัญชียาแผนโบราณของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) มี โกศเขมา ถึง 1,100 ตำรับ
ซึ่งตำราตามคุณประโยชน์ยาไทยระบุไว้ว่า โกศเขมา มีกลิ่นหอมยวนใจ รสร้อน ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ เป็นยาบำรุงกำลัง แก้โรคเข้าข้อ เป็นยาเจริญอาหาร ยาขับเยี่ยว แก้โรคในปากในคอ แก้หวัดคัดจมูก แก้ไข้ แก้ไข้รากสาดเรื้อรัง ระงับอาการหอบคล้ายยาอีเฟรดริน
ช่วยขับลม ใช้เป็นยาบำรุง แก้โรคในปากในคอเป็นแผลเน่า แก้ทิ่มแทงสองราวข้าง แก้จุกแน่น แก้หอบหืด แก้ลมตะกัง แก้เหงื่อแตกมาก แก้ขาปวดบวม ขาหมดแรง ปวดข้อ แก้ท้องร่วง นอกจากนี้โกฐเขมายังเป็นหนึ่งในพิกัดโกฐทั้ง 5 โกศทั้ง 7 แล้วก็โกศอีกทั้ง 9 ส่วนในสรรพคุณยาจีนกล่าวว่าหมอแผนจีนนิยมใช้โกฐเฉมามาก เข้าในยาจีนหลายขนาน หนังสือเรียนยาจีนว่าใช้แก้อาการท้องเสียท้องร่วง แก้อาการบวมโดยเฉพาะอาการบวมที่ขา แก้ปวดข้อ เพราะว่าโรคข้ออักเสบ แก้หวัดและแก้โรคตาบอดช่วงเวลาค่ำคืน
ยิ่งกว่านั้นบัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้โกฐเขมาในยารักษาลักษณะโรคในระบบต่างๆของร่างกาย รวม 2 ตำรับ เป็นยารักษากรุ๊ปอาการทางระบบไหลเวียนเลือด (แก้ลม) ปรากฏตำรับ”ยาหอมเทวดาจิตร” และตำรับ ”ยาหอมนวโกฐ” มีส่วนประกอบของโกฐเขมาอยู่ในพิกัดโกฐทั้ง 9 ร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับมีคุณประโยชน์สำหรับในการแก้ลมเวียนหัว แก้อาการหน้ามืด ลายตา ใจสั่น คลื่นเหียนอาเจียน คลื่นไส้ แก้ลมจุกแน่นในท้องยารักษากรุ๊ปอาการทางระบบของกิน ปรากฏตำรับ “ยาธาตุบรรจบ” มีส่วนประกอบของโกฐเฉมาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ ใช้ทุเลาอาการท้องอืดเฟ้อ อาการอุจจาระธาตุพิการ ท้องเดินประเภทที่ไม่มีสาเหตุจากการติดเชื้อ
แบบ/ขนาดวิธีการใช้
ในตำรายาหมอแผนจีนระบุให้ใช้เหง้าต้ม รับประทานครั้งละ 3-9 กรัม แต่ว่าในบางตำราก็กำหนดให้ใช้ 5-12 กรัม ส่วนในตำรายาไทยมักจะใช้เป็นเครื่องยาตามตำรับยา มีวิธีการจัดเตรียมเหง้าโกศเขมาเพื่อใช้ทำยา 3 แนวทางเป็น
1. ตากแห้ง โดยแช่เหง้า
โกศเขมา[/color]ในน้ำสักครู่ เพื่อให้นุ่มลง แล้วหั่นเป็นแว่นครึ้มๆนำไปตากให้แห้ง จะจับตัวได้ยารสเผ็ดขม อุ่น จะให้คุณประโยชน์ ขับความชุ่มชื้นเสริมระบบการย่อยอาหารแก้ความชื้นกระทบส่วนกลาง (จุกเสียด อึดอัดลิ้นปี่ คลื่นไส้ ไม่อยากกินอาหาร ท้องร่วง) แก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อ ทุเลาลักษณะของการมีไข้หวัดจากลมเย็นหรือความชื้น (ป่วย หนาวๆร้อนๆปวดศีรษะ เมื่อยตัว)
2. ผัดรำข้าวสาลี โดยนำรำข้าวสาลีใส่ลงในกระทะตั้งไฟปานกลางจนควันขึ้น แล้วนำเหง้าโกศเขมาตากแห้งใส่ลงไป คนอย่างเร็วกระทั่งผิวของตัวยาเป็นสีเหลืองเข้ม นำออกมาจากเตา แล้วร่อนเอารำข้าวสาลีออก ตั้งทิ้งเอาไว้ให้เย็นจะก่อให้ความเผ็ดลดลง แม้กระนั้นเนื้อยาจะนุ่มนวลขึ้น และมีกลิ่นหอมสดชื่น จะให้คุณประโยชน์ ช่วยรักษาอาการของม้ามแล้วก็กระเพาะทำงานไม่เกี่ยวข้องกัน (กระเพาะปฏิบัติหน้าที่ย่อยของกินจนได้สารต้อง ส่วนม้ามปฏิบัติหน้าที่ลำเลียงสารจำเป็นต้องนี้ไปใช้ทั่วร่างกาย) แก้เสมหะข้นเหนียว แก้ต้อหิน แก้ตาบอดยามค่ำคืน
3. ผัดไหม้เกรียม โดยนำเหง้าโกศเขมาตากแห้งใส่กระทะ ผัดโดยใช้ไฟปานกลาง จนกว่าผิวนอกมีสีน้ำตาลไหม้ พรมน้ำน้อย แล้วผัดต่อโดยใช้ไฟอ่อนๆจนตัวยาแห้ง นำออกจากเตา ตั้งทิ้งเอาไว้ให้เย็นแล้วร่อนเอาเศษเล็กๆจะได้ตัวยารสออกเผ็ด จะให้สรรพคุณ ช่วยให้หลักการทำงานของไส้แข็งแรง แก้ท้องร่วงเป็นหลัก ใช้รักษาอาการท้องร่วงเหตุเพราะม้ามพร่อง โรคบิดเรื้อรัง
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของไส้ การเล่าเรียนฤทธิ์ของสารสกัดเหง้าโกฐเขมา รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากเหง้า เป็น β-eudesmol ต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก รวมทั้งช่วงเวลาที่ทำให้กระเพาะอาหารว่างในหนูเม้าส์เพศผู้ ที่ถูกกระตุ้นด้วย atropine, dopamine แล้วก็ 5-hydroxytryptamine (5-HT)โดยให้สารสกัดโกฐเขมาในขนาด 500 หรือ 1000 มิลลิกรัม/โลและ β-eudesmol ขนาด 50 หรือ 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แล้วก็ยามาตรฐาน itopride hydrochloride ขนาด 10 หรือ 50 มิลลิกรัม/โล ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดโกฐเขมามีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก รวมทั้งทำให้อาหารเขยื้อนผ่านกระเพาะอาหารเร็วขึ้น ในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยdopamine ขนาด 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แล้วก็สารสกัดโกฐเฉมาในขนาด 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้ง β-eudesmol ขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยatropine แม้กระนั้นไม่มีผลต่อช่วงเวลาที่ทำให้กระเพาะว่างนอกนั้นสารสกัดโกฐเขมาในขนาด 500 หรือ 1000 มก./โล แล้วก็ β-eudesmol ขนาด 25, 50 หรือ 100 มิลลิกรัม/กก. มีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก แล้วก็ทำให้อาหารเคลื่อนผ่านกระเพาะอาหารเร็วขึ้น ในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย 5-HT ขนาด 4 มก./กิโลกรัมหรือ 5-HT3 receptor agonist จากงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยนี้จึงสรุปว่าสารสกัดโกฐเขมาและน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากโกฐเขมา คือ β-eudesmolทำให้ของกินเคลื่อนผ่านกระเพาะเร็วขึ้น และก็กระตุ้นการเคลื่อนไหวของไส้ผ่านกลไลการยับยั้ง dopamine D2 receptor รวมทั้ง 5-HT3 receptor สามารถเอามาปรับปรุงยารักษาอาการท้องอืดเฟ้อ อาการอ้วก อึดอัดแน่นจากอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหาร รักษาโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากเส้นประสาทของกระเพาะอาหารถูกทำลาย (gastroparesis) เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อกระเพาะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทำให้ไม่สามารเคลื่อนอาหารให้ผ่านไปยังส่วนต้นของไส้ (duodenum) ได้ จึงมีอาหารเหลือหลงเหลือในกระเพาะอาหาร
ฤทธิ์ต่อต้านการปวด การทดลองในหนูพบว่า สาร β-eudesmol มีฤทธิ์ต้านปวดโดยยับยั้ง nicotinc Ach receptor channels ที่neuromuscular junction แล้วก็พบว่าส่งผลต่อกล้ามของหนูที่เป็นโรคเบาหวานมากกว่าหนูธรรมดา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ สาร β-eudesmol , atractylochromene , 2-(2E0-3,7-dimethyl-2,6-octadienyl -6-methyi-2,5-cyclohexadiene-1,4-dione , 2-(2’E)-3’7’-dimethyl-2’6’-octadienyl-4-methoxy-6-methylphenol,(3Z,5E,11E)-tridecatriene-7,9-diynyl-1-0-(E)-fenulate มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase และก็cyclooxygenase-1
ฤทธิ์ยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดจากเหง้าของโกฐเฉมาเมื่อป้อนให้หนูแรทสายพันธุ์ sprague-dawley ซึ่งถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดแผลในกระเพาะโดยใช้กรด acetic acid กระทำเก็บเลือด รวมทั้งเซลล์เนื้อเยื่อกระเพาะอาหารของหนู วัดระดับของ epidermal growth factor (EGF), trefoil factor 2 (TFF2), tumor necrosis factor-α(TNF-α), interleukin 6, 8 (IL-6,

รวมทั้ง prostaglandin E2 (PGE2) ที่เกิดขึ้น โดยใช้วิธี (ELISA) แล้วก็วัดการแสดงออกของ mRNA ตัวอย่างเช่น EGF, TFF2, TNF-α และ IL-8 ในกระเพาะอาหาร จะถูกพินิจพิจารณาโดยใช้วิธี real-time-PCR ผลการทดสอบพบว่าการถูกทำลายจากกรดของเซลล์เนื้อเยื่อกระเพาะอาหารลดน้อยลงแล้วก็ยังยั้งการผลิตสารที่เกี่ยงข้องกับการอักเสบดังเช่นว่าTNF-α, IL-8, IL-6, และ PGE2รวมทั้งมีฤทธิ์ป้องกันกระเพาะโดยเพิ่มการแสดงออกของ mRNA ของ EGF, TFF2เพิ่มการสร้างEGF, TFF2
ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน สารสกัดน้ำที่ประกอบด้วยสาร polysaccharides ที่มีน้ำตาลเชิงโดดเดี่ยวเป็น galacturonic acid มีฤทธิ์กระตุ้นระบบคุ้มครองในหนูที่ติดเชื้อรา Candida albicans ทำให้หนูมีชีวิตรอดมากยิ่งขึ้น แล้วก็สารกลุ่ม arabino-3,6-galactan มีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในหนู
ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ทำให้ของกินอยู่ในกระเพาะนานขึ้นสารสำคัญคือสารกรุ๊ป polyacetylenes
ฤทธิ์ต่อต้านการขาดออกสิเจนภายในร่างกาย สารสกัดอะซิโตนมีฤทธิ์ต้านการขาดออกซิเจนภายในร่างกายหนูถีบจักรเหตุเพราะสารโปแตสเซียมไซยาไนด์ สาระสำคัญเป็น β-eudesmol
ฤทธิ์แก้อาการท้องอืดเฟ้อ ฤทธิ์เพิ่มช่วงเวลาที่ทำให้กระเพาะอาหารว่าง ของน้ำมันหอมระเหยจากเหง้าโกฐเฉมา ในหนูแรทเพศผู้ สายพันธุ์วิสตาร์ ที่อยู่ในสภาวะเครียด และก็ผลของฮอร์โมนที่ควบคุมแนวทางการทำงานของกระเพาะอาหารและก็ลำไส้ ซึ่งหลั่งจากต่อมไฮโปธาลามัส หรือ corticotropin-releasing factor (CRF) ทดลองโดยป้อนน้ำมันหอมระเหยจากเหง้า ในขนาดต่างๆเป็น 30,60 แล้วก็ 120 mg/kg ต่อวัน แก่หนูเป็นเวลา 7 วัน พบว่าไม่มีผลเปลี่ยนขณะที่ทำให้กระเพาะอาหารว่างในหนูปกติ แต่ว่าส่งผลทำให้เพิ่มระยะเวลาที่ทำให้กระเพาะอาหารว่างได้ในหนูที่มีภาวะเครียด น้ำมันหอมระเหยสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมน motilin (MTL) รวมทั้ง gastrin (GAS) แล้วก็ลดระดับ somatostatin (SS) แล้วก็ CRF อย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยพบว่ากลไกสำคัญเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมน คือยับยั้งการหลั่ง CRF ซึ่งผลเหล่านี้ทำให้เพิ่มช่วงเวลาที่ทำให้กระเพาะอาหารว่างเร็วขึ้น จึงลดอาการป่วยหนักท้อง ท้องขึ้นเฟ้อจากความเคร่งเครียดในหนู (ภาวการณ์เครียดทำให้หลักการทำงานของกระเพาะรวมทั้งลำไส้ต่ำลง)
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดลองพิษกะทันหันของสารสกัดเหง้าด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. (คิดเป็น 1,786 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และก็ให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโล ไม่เจออาการเป็นพิษ
คำแนะนำ/ใจความระวัง
1. ผู้ป่วยที่มีลักษณะท้องเดิน ที่มีอุจจาระร่วงเป็นน้ำ ควรจะใช้โกศเขมาด้วยความรอบคอบ
2. สตรีมีท้องแล้วก็สตรีให้นมลูกควรจะหารือหมอ รวมทั้งผู้เชียวชาญก่อนใช้เนื่องจากว่ายังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยในสตรีมีท้องและสตรีให้นมลูก
3. อาการข้างๆที่พบได้ในผู้ที่ใช้ โกศเขมาคือ อ้วก คลื่นไส้ ปากแห้ง และมีกลิ่นปาก
4. ไม่สมควรใช้โกฐเฉมาในปริมาณที่มากเหลือเกินหรือใช้เป็นเวลานานเพราะว่าบางทีอาจส่งผลต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
หนังสืออ้างอิง1. วิทยา บุญวรพัฒน์.“โกฐเขมา”.หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยครั้งในประเทศไทย. หน้า 102.
2. นพมาศ เพราะเจริญก้าวหน้าความรื่นเริง.โกฐเฉมา จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ปีที่28 .ฉบับที่ 3 เดือนเมษายน 2554.หน้า17-19
3. ชยันต์ พิเขียรสุนทร แม้มาส ชวลิต วชิระ จีรวงศ์.คำอธิบายหนังสือเรียนพระโอสถพระนารายณ์.จังหวัดกรุงเทพ: สำนักพิมพ์อมรินทร์.2542
https://www.disthai.com/4. “โกฐเขมา Atractylis”. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.หนังสือสมุนไพรสวนสิรีต้นไม้. หน้า 217.
5. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2546. ประมวลผลงานค้นคว้าวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.สถานที่พิมพ์การศาสนา:จ.กรุงเทพฯ.
6. โกศเขมา.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpaye&pid=277. Yu KW, Kiyohara H, Matsumoto T, Yang HC, Yamada H. lntestinal immune system modulating poly-saccharides from rhizomes of Atractylodes lancea. Planta Med 1998;64(

:714-9.
8. Kimura Y, Sumiyoshi M. Effects of an Atractylodes lancea rhizome extract and a volatile component beta-eudesmol on gastrointestinal motility in mice. J Ethnopharmacology. 2012;141:530-536.
9. Yu Y, Jia T-Z, Cai Q, Jiang N, Ma M-Y, Min D-Y, et al. Comparison of the anti-ulcer activity between the crude and bran-processed Atractylodes lancea in the rat model of gastric ulcer induced by acetic acid. J Ethnopharmacology. 2015;160:211-218.
10. Nakai Y, Kido T,Hashimoto K, Kase Y, Sakakibara l, Higuchi M, Sasaki H. Effect of the rhizomes of Atractylodes lancea and its constituents on the delay of gastric emptying. J Ethnopharmacol 2003;84(1):51-5.
11. Lehner MS, Steigel A, Bauer R. Diacetoxy-substituted polyacetyenes from Atractylodes lancea. Phyto-chemistry 1997;46(6):1023-8
12. Resch M, Heilmann J,Steigel A, Bauer Rauer R. Futher phenols and polyacetyenes from the rhizomes of Atractylodes lancea and their anti-inflammatory activity. Planta Med 2001;67(5):437-42.
13. Zhang H, Han T, Sun L-N, Huang B-K, ChenY-F, Zheng H-C, et al. Regulative effects of essential oil from Atractylodes lancea on delayed gastric emptying in stress-induced rats. Phytomedicine. 2008;15:602–611.
14. Chiou LC, Chang CC. Antagonism by β-eudesmol of neostigmine-induced neuromudcular failure in mouse diaphragms. Eur J Pharmacol 1992;216(2):199-206.
15. Kimura M, Nojima H, Muroi M, Kimura l. Mechanism of the blocking action of β-eudesmol on the nicotic acetylcholine receptor channel in mouse skeletal muscles. Neuropharmacology 1991;30(

:835-41.
16. Kimura M, Tanaka K, Takamura Y, Nojima H, Kimura l, Yano S, Tanaka M. Structural componets of beta-eudesmol essential for its potentiating effect on succinylcholine-induced neuromuscular blockade in mice. Biol Pharm Bull 1994;17(9): 1232-40.
17. Yamahara J, Matsuda H, Naitoh Y, Fujimura H, Tamai Y. Antianoxic action and active constituents of atractylodis lanceae rhizome. Chem Pharm Bull 1990;38(7):2033-4.
18. Lnagaki N, Komatsu Y, Sasaki H, Kiyohara H, Yamada H, lshibashi H, Tansho S, Yamaguchi H, Abe S, Acidic polysaccharides from rhizomes of Atractylodes lancea as protective principle in Candida-lnfected mice. Planta Med 2001;67(5):428-31.
Tags : โกศเขมา