แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ฟุตบอล คลับ เกิดขึ้นทีแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1870 เมื่อบุคลากรการรถไฟกรุ๊ปหนึ่งได้จัดตั้งทีมบอลขึ้นมา ซึ่งพวกเขาใช้ชื่อว่า เดอะ แลงคาเชียร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ เรียลเวย์ ฟุตบอล คลับ และถัดมาได้กลายเป็น นิวตัน ฮีธ ในปี 1878 โดยพวกเขาอุตสาหะเข้าร่วมบอลลีกถึงสองครั้งแต่ก็ล้มเหลว ด้วยเหตุว่าไม่มีสมาคมใดให้การเกื้อหนุน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับการยอมรับเมื่อฟุต
บอลลีกมีการแบ่งได้สองดิวิชั่นในเวลาต่อมาไม่นาน
Newton Heath in 1892
เกมลีกนัดแรกในประวัติศาสตร์ของ นิวตัน ฮีธ เป็น ดารมแพ้ต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-4 แต่ว่าความมีชัยครั้งแรกก็มาถึงในไม่ช้า เมื่อพวกเขาจัดแจงกระหน่ำเอาชนะ วูล์ฟหมูแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ไปได้ถึง 10-1 แต่ต่อไปกลุ่มกลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง เมื่อคว้าชัยชนะได้เพียง 6 จาก 30 นัดแค่นั้น จนทำให้พวกเขาตกไปอยู่ในอับดับบ๊วยของตาราง แต่ว่าพวกเขาก็รอดการตกชั้นได้ หลังจากที่เอาชนะสมอลล์ ฮีธ ไปได้ 5-2 ที่สนาม บรามอลล์เลน
แต่แล้วพอถึงปีถัดมาทีมยังคงเล่นห่วยแตกอย่างเดิมแล้วก็จำต้องตกชั้นไปในที่สุด โดยแม้ว่าจะมีการยุบลีก และตั้งมาใหม่ แต่ทีมก็มีปัญหาสำหรับการเข้าร่วมลีกอีกครั้ง เพราะว่าสถานะทางด้านการเงินที่ไม่ดีนัก ก่อนที่พวกเขาจะล้มละลายเมื่อเข้าปี 1902 โชคดีที่มีผู้อำนวยการโรงกลั่นเบียร์ที่ชื่อจอห์น เดวี่ส์ มาลงทุนกับสมาพันธ์ ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นผู้อำนวยการและก็ประธานชมรมในในที่สุด แล้วต่อจากนั้นกลุ่มก็เปลี่ยนแปลงชื่อมาเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ใช้อยู่ในตอนนี้
และอีกไม่นาน เอ้อร์เนสต์ แมกนัลล์ ก็ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นกุนซือคนแรกของกลุ่มในปี 1903 โดย แมกนัลล์ ได้นำพาไต่ขึ้นมาจากดิวิชั่น 2 ได้ แล้วก็จากสไตล์การเล่นที่รวดเร็วทันใจ และก็ สวยงาม ในช่วงฤดูกาล 1907-08 "อสุรกายแดง" ก็สามารถคว้าชัยชนะลีกมายังถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสมาคม แถมในปีต่อมาพวกเขายังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองได้อีกต่างหาก
The 1908 championship-winning side
แต่ว่าหลังจากที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ประสบเจอกับปัญหาจนได้ เมื่อสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกิดใช้การไม่ได้ รวมทั้งนักเตะบางบุคคลก็แก่ขึ้น ทำให้ควรจะมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยการเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมร่วมเมือง เพื่อขอใช้สนาม เมน โร้ด เป็นสนามเหย้ากับแต่ง แม็ตต์ บัสบี้ เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชุดนั้นแต่ว่าคนไหนกันแน่จะไปรู้ได้ว่าชายผู้นี้แหละที่ได้สร้าง "เร้ด เดวิลส์" ให้กลับขึ้นมาผงาดอีกครั้ง เมื่อเขาพาทีมที่มีเด็กแคว้นเป็นองค์ประกอบหลักคว้าชัยชนะลีกในช่วงฤดูกาล 1951-52 แล้วก็บับแล้วหลังจากนั้นมันก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มของสมัย บัสบี้ เบ๊บส์ อันยิ่งใหญ่
แชมป์ลีกในฤดูกาล 1955-56 เป็นของพวกเขา รวมทั้งในบอลยุโรป บัสบี้ ก็สามารถพาทีมลุยเข้ารอบ ยูโรเปี้ยน คัพ และไปถึงรอบรองชนะเลิศ ได้เสร็จก่อนที่จะไม่เข้ารอบไป แม้กระนั้นยังดีที่พวกเขาคว้าชัยชนะดิวิชั่นหนึ่งได้อีกสมัย และจะได้กลับมายุโรปใหม่ในปีถัดไป แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อชมรม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เมื่อเครื่องบินขึ้นรถทีมที่ลงหยุดในกรุงมิวนิค เกิดอุบัติเหตุขณะกำลังบินขึ้นฟ้า ส่งผลให้ผู้เล่นของทีม 8 รายเสียชีวิตในทันที แล้วก็นั่นก็เป็นเรื่องโศกเศร้าที่สะเทือนใจที่สุดในวงการกีฬาทั่วทั้งโลกตอนนั้น
the Munich air disaster
ภายหลังจากเหตุดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แม็ตต์ บัสบี้ ได้ทำการตัดสินใจสร้างทีมขึ้นมาใหม่เพื่อสานฝันที่จะได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ให้ได้ โดยแกนนำยังเป็นนักเตะที่มีชีวิตรอดมาจากเหตุเรือบินตก รวมกับผู้เล่นจากกลุ่มสำรอง, ทีมเยาวชน แล้วก็นักฟุตบอลที่ซื้อเข้ามาใหม่ จนกระทั่งทีมเริ่มกลับมาอดทนขึ้นตามลำดับ และเมื่อฝันร้านร้ายได้ผ่านไปพวกเขาก็กลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในถ้วย เอฟเอ คัพ ปี 1963 ซึ่งในช่วงฤดูกาลนั้นเองนักฟุตบอลอย่าง จอร์จ เบสต์ ,เดนนิส ลอว์ แล้วก็ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน แจ้งเกิดขึ้นมาได้เสร็จ และดูอย่างกับว่าเดี๋ยวนี้จะเป็นเวลาที่ดีเยี่ยมที่สุดนับจากริเริ่มตั้งขึ้นสมาพันธ์ เมื่อพวกเขาครองแชมป์ลีกมาครองได้ 2 สมัยในรอบ 3 ปีหลัง และก็แน่นอนกระเป๋านหมายต่อไปของพวกเขาย่อมอยู่ที่ ยูโรเปี้ยน
จนกระทั่งสุดท้ายความฝันของ แม็ตต์ บัสบี้ ก็เป็นจริง เมื่อ ลูกทีมของเขา ไล่ถล่มเอาชนะ เบนฟิก้า กลุ่มมีชื่อเสียงของเมืองฝอยทองคำซึ่งนำทัพมาโดย ยูเซบิโอ นักฟุตบอลชื่อก้องโลก ไปถึงที่กะไว้สนามเวมบลีย์ ด้วยสกอร์ 4-1 รวมทั้งครอบครองแชมป์ถ้วยสโมสรใบใหญ่สุดของยุโรปไปได้อย่างงดงาม ก่อนที่ บัสบี้ จะวางมือในเวลาต่อมาซึ่งนั่นดูท่าจะเป็นจุดแปลงของทีมอีกที เมื่อตอนทศวรรษที่ 1970 วิลฟ์ แม็คกินเนสส์, แฟร้งค์ โอ ฟาร์เรลล์ และ ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้ ที่เข้ามารับงานต่อจากเซอร์บัสบี้ ต่างก็ทำผลงานได้ตกอับจนกระทั่งกลุ่มจะต้องตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในเวลาอันสั้น
ตอนทศวรรษ 80 หลังจากที่ ยูไนเต็ด กลับมาขึ้นมาในลีกสูงสุดอีกรอบ พวกเขาก็ยังสร้างผลงานได้ไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ทำให้ทางเบื้องบนได้ตัดสินใจที่จะดึงตัว รอน แอ๊ตกินสัน เข้ามาคุมกลุ่มแทนที่ของ เดฟ เซ็กซ์ตัน ในปี 1981 โดยบิ๊กรอน ได้นำนักฟุตบอลใหม่หลายคนเข้ามาสู่ทีม โดยเฉพาะในรายของ ไบรอัน ร็อบสัน กองกลางผู้ดีอังกฤษที่เขาจ่ายเงินกว่า 1.5 ล้านปอนด์ หรือราว 105 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตัวนั้นถือว่าเป็นการซื้อที่เป็นสถิติการย้ายกลุ่มของเกาะอังกฤษณ เวลานั้นเลย แต่ว่าต่อไป ร็อบสัน ก็ทำให้เห็นว่าเขาเล่นได้คุ้มตัวทุกเพนนี แต่ว่าความเคลื่อนไหวในรั่ว โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ยังไม่หยุดลงเพียงนี้ เมื่อทางบอร์ดบริหารได้เห็นตรงกันว่า การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2 ยุค นั้นไม่เพียงพอต่อชมรมระดับนี้ ส่งผลให้ตำแหน่งผู้จัดการทีม ยูไนเต็ดเปลี่ยนมือมาจาก แอ๊ตกินสัน ไปสู่ผู้จัดการทีมฟุตบอลคนใหม่ที่ชื่อว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
Alex Ferguson in 1986
งานชิ้นใหม่ของ "เฟอร์กี้" ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาจำเป็นต้องประจันหน้ากับแรงกดดันที่มากมาย และก็ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ผู้จัดการทีมฟุตบอลคนก่อนอย่าง แอ๊ตกินสัน จะต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไป แน่ๆว่าเพียงแค่แชมป์เอฟเอ คัพ อย่างเดียวไม่เพียงพอเพื่อตอบสนองความทะยานอยากรวมทั้งความต้องการของสมาคมยักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ และก็งานนี้ของ "เฟอร์กี้"ก็ดูท่าจะจำเป็นต้องเจอกับความยากแค้น เมื่อยุคนั้น หงส์แดง อริตัวฉจากของทีมกำลังครองความใหญ่โตในประเทศอยู่ โดยมี อาร์เซน่อล รวมทั้ง เอฟเวอร์ตัน เป็นอีกสองทีมที่พอฟัด
18 เดือนแรกของ เฟอร์กี้ นั้นก็ดูเหมือนจะผ่านไปได้อย่างสบายเมื่อ ยูไนเต็ด จบซีซั่นชั้นสองของลีกในปี 1988 เป็นรองเพียงแค่ หงส์แดง ทีมเดียวเท่านั้น แต่ภายหลังจุดสุดยอดคราวนั้น ปีศาจร้ายแดง จะต้องกลับมาเจอปัญหาอีกที ความปราชัยเยิน 1-5 รวมถึงการพ่ายต่อสหายร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในพ.ย. 1989 ซึ่งนั่นเป็นเป็นจุดเริ่มของการเกิดกระแสเรียกร้องให้ปลดเขาออกมาจากตำแหน่ง โดยปีนั้นจบปีด้วยอันดับ 11 ของตาราง
แต่ว่าภายหลังจากเรื่องราวนั้นทุกๆอย่างก็ดูแปรไป รวมทั้งถ้าหากว่าพวกเรามาดูกันการบรรลุผลในขณะนี้จะต้องนับว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดของบอร์ดภูติผีแดงที่ปลดปล่อยให้ เฟอร์กูสันดำเนินการพิสูจน์ฝีมือต่อนั้นเกิดเรื่องที่ถูกที่สุด ซึ่งประตูชัยของมาร์ค โรบินส์ ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในเดือนมกราคม 1990 เปรียบเสมือนเป็นการปลุก "เร้ด เดวิลส์"ให้กลับสู่ยุคทองของชมรมอีกรอบ
ซึ่งแชมป์แรกของพวกเขาภายใต้การนำทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการคว่ำ คริสตัล พาเลซ ในรอบชิงแชมป์ นัดรีเพลย์ ศึกเอฟเอ คัพ แล้วต่อจากนั้นในปี 1991 ถ้วยใบที่สองก็ตามมาติดๆเมื่อ ยูไนเต็ด ปราบยักษ์ใหญ่จาก สเปน อย่าง บาร์เซโลน่า ไปได้ในนัดชิงชนะเลิศศึก คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่ร็อตเตอร์ดัม ได้สำเร็จ
อย่างไรก็แล้วแต่ เฟอร์กี้ นั้นก็รู้ว่าตำแหน่งแชมป์ลีกที่เขายังทำไม่ได้นั้นเป็นจุดหมายสูงสุดของกลุ่มในตอนนั้น แม้กระนั้นพวกเขาก็ต้องพบเจอกับความผิดหวังอีกครั้งเมื่อในปี1992 เมื่อพวกเขาถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด แซงแย่งแชมป์ไปแบบกลับความหวัง โดยที่ปีเดียวกันทีมก็มีถ้วยรางวัลปลอบประโลมใจติดมือมา 1ใบคือ ลีก คัพ
เดือนพฤศจิกายน 1992 การเข้ามาของ เอริก คันโตน่า ก็เปรียบได้กับเป็นตัวต่อตัวในที่สุดของ เฟอร์กี้ สำหรับในการไล่ล่าแชมป์ ที่ซาตานแดง รอคอยมานานถึง 26 ปี โดยกลุ่มสามารถคว้าชัยชนะพรีเมียร์ชิพในปี 1993 มาครอบครองได้สำเร็จ และภายหลังจากวันนั้นกลุ่มก็เปล่งรัศมีของการเป็นกลุ่มฟุตบอลที่ดีสุดในประเทศอีกรอบ เมื่อพวกเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในปี 1994 ได้อบบสม่ำเสมอแถมยังเกือบเป็นทริปเบิ้ลแชมป์ด้วย ถ้าไม่เพราะความปราชัยในนัดชิงชนะเลิศถ้วย ลีก คัพ
แม้กระนั้นจากการขาด เอริก คันโตน่า ในฤดูกาลต่อมา เพราะว่าติดโทษแบนจากการไปมีเรื่องมีราวกับแฟนบอลพาเลซ ซึ่งนั้นก็ดูเหมือนจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อการพลาดดับเบิ้ลแชมป์อีกสมัยของทีม เมื่อ ยูไนเต็ดเสียท่าในลีกต่อ กางล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในเกมในที่สุด และต่อด้วยการพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน ในเกมนัดหมายชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ในไม่กี่สัปดาห์ถัดมา พอเพียงถึงช่วงซัมเมอร์ปี 1995 บรรดาผอง เร้ด อาร์มี่ ก็จะต้องช็อกกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ เฟอร์กี้ จัดการเปลี่ยนกลุ่มครั้งใหญ่ ด้วยการขายผู้เล่นชั้นเยี่ยมอย่างพอล อินซ์, มาร์ค ฮิวจ์ส รวมทั้ง อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ออกมาจากทีมเวลาไล่เลี่ยกันแล้วหันมาใช้งานบรรดาดาวรุ่งรุ่นใหม่ของทีมอย่าง เดวิด เบ็คหมูแฮม, สองลูกพี่ลูกน้องเนวิลล์, พอล สวัวลส์ รวมทั้ง นิคกี้ บัตท์
เรื่องนี้ที่อังกฤษมีการกล่าวถึงกันเป็นอย่างมากถึงการกระทำของ เฟอร์กี้ คราวนี้ แต่บรรดาดาวรุ่งทั้งหลายก็ช่วยลบคำปรามาสและเสียงก่นด่าให้กับเจ้านาย ด้วยการนำภูติผีแดง ครองดับเบิ้ลแชมป์ยุคที่ 2 ได้เป็นทีมแรกของประเทศ ในปี 1997 ยูไนเต็ด ยังคงรักษาตำแหน่งทีมลำดับที่หนึ่งของประเทศไว้ได้ถัดไป แต่เมื่อจบฤดูกาลพวกเขาก็จำเป็นต้องพบกับการสูญเสียนักฟุตบอลประสิทธิภาพไปอีกหนึ่งรายภายหลังที่ เอริก คันโตน่าประกาศล่ำลาสังเวียนอย่างช็อกคนทั้งยัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ในฤดูกาลต่อมา ถึงแม้พวกเขาจะนำโด่งเป็นจ่าฝูงจนถึงไปสู่ช่วงโค้งสุดท้าย แต่จากการบาดเจ็บของนักฟุตบอลตัวหลักหลายราย นำมาซึ่งการทำให้ อาร์เซน่อล ที่เดินหน้าคว้าชัยชนะ 10 เกมติด แซงหน้าเข้าป้ายได้แชมป์ไปอย่างเจ็บแสบและก็นอกเหนือจากนี้ไอ้ปืนใหญ่ ยังตีเสมอสถิติดับเบิ้ลแชมป์ 2ยุคได้ด้วย ภายหลังจากเอาชนะ นิวค้างสเซิ่ล ยูไนเต็ด คู่ชิงในเอฟเอ คัพไปได้เสร็จ
United players parade the UEFA Champions League trophy
United players parade the UEFA Champions League trophy.
1998-99 ฤดูกาลที่ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษ และคาดว่าจะอยู่ในความทรงจำของชาวแฟน อสุรกายแดง ไปอีกนานเท่านาน เมื่อ เฟอร์กี้ ทุ่มเงินปริมาณ 27 ล้านปอนด์ หรือราว 2,025 ล้านบาท ในคว้า 3 ดาวเตะตัวใหม่อย่างดไวท์ ยอร์ค, ยาป สตัม และ เยสเปอร์ บลอมควิสต์ มาเสริมกองทัพ และเงินทุกเพนนีที่จ่าไปเมื่อต้นซีซั่นนั้นก็ถูกทดแทนด้วยคำตอบที่เหนือความคาดหมาย เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประกาศความใหญ่โตให้ทุกคนทราบดีว่าพวกเขาไม่ใช่แค่สุดยอดสมาคมในระดับประเทศแค่นั้น เมื่อพวกเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิคยักษ์ใหญ่จากเยอรมัน ได้ในช่วงทดเวลาเจ็บในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ พร้อมด้วยคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้อย่างน่าพิศวง
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความทรงจำที่ดีของกลุ่มไปอีกนานเท่านาน แม้กระนั้นอย่างไรก็แล้วแต่จริงๆแล้วโลกลูกหนังนั้นก็ไม่อาจจะมาหยุดกับการบรรลุผลในอดีตกาลได้เลย ซึ่งเฟอร์กูสัน เองก็รู้เรื่องนี้ดี ทำให้เขาเริ่มที่จะถ่ายเลือดใหม่อีกรอบ ซึ่งแม้กระทั้ง เดวิดเบ็คแฮม ที่เคยเป็นอันมากสำคัญของกลุ่มก็ยอดเยี่ยมในผู้ที่จะต้องออกจากถิ่น โอลด์แทร็ฟฟอร์ดไป สู่ รีล มาดริด
พร้อมกันนี้การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชมรม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เกิดขึ้นอีกทีหลังจากที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐฯ เจ้าของทีม แทมป้า เบย์ บัคคาเนียร์ส ในศึกอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล ได้เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการค้าของสมาคมต่อจาก มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด ผู้ครอบครองทีมคนเก่า แล้วก็เก็บรวบรวมหุ้นมาสู่กำมือของเครือญาติแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งการเข้ามาคุมชมรมของเชื้อสาย จากเว็บ
www.HERO88.coเครดิตบทความจาก :
https://sportkk99.blogspot.com/