ประเพณี วัฒนธรรมการปลูกเรือนนั้น ในแต่ละสังคม ย่อมมีวิธีการที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และสภาพแวดล้อม ประเพณีการปลูกเรือนล้วนแฝงไว้ด้วยคติความเชื่อของสังคมนั้นๆซึ่งเป็นตัว กำหนดพื้นฐานของการปลูกสร้างบ้านเรือน เพื่อให้บังเกิดความอยู่เย็นเป็นสุขแก่ผู้อาศัยในเรือนนั้นๆ การ “ปกหอยอเฮือน” เป็นคำพูดในภาษาล้านนา หมายถึงประเพณีการปลูกเรือนล้านนา แต่เดิมที่อยู่อาศัยของชาวล้านนามีด้วยกันหลายระดับ แล้วแต่ฐานนะของเจ้าของมีตั้งแต่ตูบติดดิน ตูบหมาแหงน ตูบหย่างร่างเรือน ตูบพื้นหลองข้าว เรือนไม้บั่ว เรือนเครื่องไม้จริง เรือนไม้จริงล้วน คือพื้นแป้นฝาแป้น เป็นต้น (ศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๓๙, หน้า ๖๕)
การครองเรือนของคนล้านนา แต่โบราณนิยมให้ฝ่ายชายอยู่ร่วมกับฝ่ายหญิง เรียกว่า วิวาหมงคล หรือ วิวาหะมังคละ เพื่อให้ฝ่ายชายได้รับใช้บิดามารดาฝ่ายหญิง เรียกว่า “ได้ลูกอ้ายหลานชาย” เพื่อเป็นการตอบแทนที่ฝ่ายชายได้ลูกสาวของเขามาเป็นภรรยา เป็นเวลา ๓ ปีเป็นอย่างน้อย จึงจะแยกตัวลงมาตั้งเรือนใหม่อีก ๑ ครอบครัว เรียกว่า “ลงปักซั้งตั้งกิน” (มณี พยอมยงค์, ๒๕๓๐, หน้า ๑๗๐) การปลูกเรือนในสมัยโบราณจะปลูกให้ดีทีเดียวเลยไม่ได้ ถือว่าขึด จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ แต่ถ้าพ้น ๓ ปีไปแล้วจะปลูกเรือนแบบใดก็ได้ไม่มีขึดอันใด ในปีแรกต้องปลูกเรือนแบบฝังเสาดั้งจากดินขึ้นไป เรียกว่า “เสาดั้งจ้ำดิน” เรือนแบบนี้อยู่ได้ประมาณ ๑ ปีเท่านั้นก็ต้องรื้อปลูกใหม่ การปลูกเรือนในปีที่ ๒ จะสร้างเรือนผูก คือผูกขื่อผูกแปกับเสาเรือนได้โดยเสาดั้งตั้งจากขื่อขึ้นไป ปีที่ ๓ จึงจะปลูกเรือนแบบเจาะรูขื่อรูแป เพื่อสวมเข้ากับเดือยปลายเสาได้ เรียกว่า “เรือนขื่อสุบ” ในการปลูกเรือนใหม่ชายหนุ่มจะต้องหาสถานที่อยู่และเตรียมอุปกรณ์ในการทำบ้าน ไว้อย่างพร้อมมูล (ศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๓๙, หน้า ๖๕)
พอ ตกเย็นอาจารย์วัดหรือปู่อาจารย์จะเป็นผู้มากล่าวคำโอกาสขึ้นท้าวทั้ง๔ และบอกเจ้าที่เจ้าทางบอกแม่พระธรณีให้ช่วยคุ้มครองไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรง โดยยกสะตวงอันหนึ่งตั้งไว้ตรงกลางที่ดินนั้นเพื่อกล่าวบูชาขออนุญาตจากเจ้า ที่ ส่วนสะตวงอีก ๔ ยกไปตั้งไว้ยังทิศทั้ง ๔ แล้วกล่าวคำอาราธนาบูชาว่า “ มหาลยันติ ลหายันติ ลหาลตันติว หูลู หูลู สวาหาย” ๗ จบแล้วยกสะตวงออกไปให้พ้นเขตที่ดินตามทิศนั้นๆ (ศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๓๙, หน้า ๑๐๗)
บางตำรากล่าวว่าการทำพิธีเซ่นสรวงเจ้าที่หรือพญานาค เนื่องจากในสมัยโบราณชาวเหนือมีความเชื่อว่า พญานาคเป็นสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์เป็นเจ้าแผ่นดิน และแผ่นฟ้า สามารถอำนวยความสุขสวัสดี หรือภัยพิบัติแก่มวลมนุษย์ได้ โดยให้วัดจากมุมทั้งสี่ของบริเวณที่จะปลูกเรือนให้ได้จุดศูนย์กลางแล้วให้ ขุดหลุมลึก ๑ คืบ กว้าง ๑ คืบ ให้เอาข้าวปั้น กล้วยหน่วย และอาหารคาวหวาน อย่างละเล็กละน้อยใส่เข้าไปในหลุมนั้น
แล้ว อาจารย์จะอ่านคำโองการว่า “โอม นะโม นาคะราชา มหานาคะราชา สวาหุง นาคะราชา อิมัสสสะมิง นะกะเล สุวัณณะรัชชะตัง วา มะณี วา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ ภุญชันตุ สวาหุง” ว่าครบ ๓ จบ แล้วก็อัญเชิญให้พญานาคมารับสิ่งของสังเวยนั้น แล้วกลบดินถมหลุมเป็นเสร็จพิธีเลี้ยงเจ้าที่เจ้าดิน หรือพญานาค (มณี พยอมยงค์, ๒๕๓๐, หน้า ๑๗๕)
พิธีเซ่นสรวงเจ้าที่
การ บูชาพญานาค บางท้องถิ่นเมื่อจะปกเสาเรือน ต้องมีการจัดเครื่องบูชาพญานาค โดยทำสะตวงหยวกกล้วย กว้าง ยาว เท่ากับศอกของเจ้าของเรือน ใส่ด้วยข้าว น้ำ โภชนาอาหาร พร้าว ตาล กล้วย อ้อย หมาก พลู ข้าวตอก ดอกไม้ ช่อ ๖ ตัว จองแหลง (คือเทียนขี้ผึ้งขนาดเล็กติดกับตอกไม้ไผ่) ๖ อัน ดอกไม้ขาว ๖ ดอก ผ้าขาว ผ้าแดง ยาวเท่ากับศอกของเจ้าของเรือน ๒ ผืน แล้วขุดหลุมใกล้กับหลุมเสามงคล กว้าง ๑ ศอก ลึก ๑ ศอกของเจ้าเรือน วางสะตวงใกล้กับปากหลุม และกล่าวคำโอกาสดังนี้
“โภนโต ดูรานาคราชาตนเป็นเจ้าเป็นใหญ่ตนประเสริฐ อันเป็นใหญ่กว่านาคทั้งหลาย มากกว่าแสนโกฏิ อันอยู่รักษาแผ่นดินหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชนะ และรักษาเมืองคำแห่งอินทราชเจ้ากล้ำลุ่ม บัดนี้หมายมีเจ้าเรือนผู้มีชื่อว่า…………จิ่งจักมาสร้างแปลงยังเคหาหอ เรือนอันใหม่ ก็จิ่งจักรำเพิงเถิงบุญคุณแห่งเจ้ากู ก็จิ่งได้ตกแต่งยังเครื่องบริกรรมปูชานมัสการ มีข้าวปลาโภชนาอาหาร แกงส้ม แกงหวาน พร้าวตาล กล้วยอ้อย จองแหลงและเยื่องและ ๖ มีผ้าขาว ๒ ผืน ก็เพื่อว่าจักมาขอเอายังโชคชัย ลาภะสักการะ กับด้วยเจ้ากูว่าอั้นสันนี้แท้ดีหลี ขอเจ้ากูจุ่งจักมารับเอายังเครื่องขียาปูชานมัสการทังหลายมวลฝูงนี้ แล้วขอเจ้ากูจุ่งจักนำมายัง โชคชัย ลาภะสักการะ ยศ บริวาร ศรีโภคะ ธนะ มะหิงสา สิตา นารานิบิ สัพพะสิทธิ วิฏฏรุจจิติ” ว่า ๓ ครั้งแล้วเอาผ้าขาว ๒ ผืน รองตีนเสามงคลผืน ๑ และรองตีนเสานางผืน ๑ จากนั้นเอาสะตวงไปให้พ้นเขตบ้าน แล้วจึงทำการปกเสามงคลและเสานาง รวมทั้งเสาอื่นๆ ต่อไป (ศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๓๙, หน้า ๑๑๑)