ผลรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการทำการรักษาโรคมะเร็งโดยใช้สารเคมีก็คือการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของคนไข้นั้นเอง ในความเป็นจริงแล้วคนไข้ตายจากการรักษาโดยสารเคมีมากกว่า จากโรคมะเร็ง ผู้ป่วยที่รักษาโดยสารเคมีจะได้รับการตรวจเช็คเม็ดเลือดขาว ในช่วงที่ทำการรักษาโดยใช้สารเคมี ปริมาณสารเคมีที่จะให้ผู้ป่วย กับโปรแกรมการให้สารเคมีจะถูกปรับเพื่อให้ผู้ป่วย มีโอกาสที่จะสร้างภูมิคุ้มกันพอเพียง เพื่อที่จะรองรับสารเคมีที่เป็นพิษในครั้งถัดไปได้อีก กับหวังว่าสารเคมีจะทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วกว่าเซลล์ปกติ โดยปกติเม็ดเลือดขาวจะมีความอ่อนแอต่อสารเคมีที่ใช้รักษาโรคมะเร็งโดยมันจะตายเร็วกว่าเซลล์อื่นๆที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อที่ยังเป็นปกติอยู่ ซึ่งเป็นที่มาของภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ลดลง เกี่ยว เม็ดเลือดขาวเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
หากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันที่ดี จะใช้จำนวนสาร
คุณสมบัติที่เด่นของถั่งเช่าซึ่งเป็นที่รับรู้เข้าใจกันมานานแล้วในประเทศจีนก็คือ การเป็นยาเยียวยารักษาเนื้อร้าย ซึ่งกำลังเป็นที่น่าตื่นเต้นในวงการแพทย์ทางเลือกในโลกตะวันตกในด้านสมรรถนะในการการเป็นยาปกป้องเนื้อร้ายชนิดใหม่ ประกอบไปด้วยสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) และ สารคอร์ไดซิพิน (Cordycepin) ซึ่งสสารตัวหลังนี้พบที่ถั่งเช่าเท่านั้น ในปัจจุบันมีแพทย์จากทั่วโลกที่แนะนำให้คนไข้รับประทานควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการใช้เคมีบำบัด (ทำคีโม) หรือการฉายรังสี หรือทางเลือกในการรักษาเนื้องอกโดยวิธีอื่นๆ จะสามารถชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอย่างชัดเจน ในบางกรณีนอกจากทำให้เนื้องอกหายไปด้วยแล้ว ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของคนไข้ทนทางขึ้น สามารถทนต่อผลกระทบจากการทำคีโม หรือฉายรังสีได้ด้วย (Nakamura et al 2003) ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการรับประทานจัดเป็นภูมิคุ้มกันที่สองซึ่งทำให้ร่างกายคนสามารถ ทราบ จดจำ กำจัด สกัดกั้น จุดที่เป็นมะเร็งทั่วร่างกายได้ (Koh et al 2002)
กลไกการออกฤทธิ์ของสสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides)
การป้องกันผลข้างเคียง จากการบำบัดทางเคมีหรือฉายรังสี
แบคทีเรียส่วนใหญ่ และไวรัสทุกชนิด รวมทั้งไวรัสเอดส์ (HIV) ก็ไม่สามารถซ่อมแซมดีเอ็นเอ ได้เช่นเดียวกับเซลล์มะเร็ง ดังนั้นความสามารถในการต้านทานการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิด และไวรัส โดยคอร์ไดซิพิน ก็มีกลไกการทำงานเช่นเดียวกับที่เกิดกับเซลล์เนื้อร้ายนั่นเอง (Holliday 2004b) (Liu and Zheng, 1993)
เป็นที่รู้กันว่าในเห็ดหลายชนิดมีส่วนประกอบของสารแซคคาไรด์เดี่ยวๆ และแซคคาไรด์ที่รวมตัวต่อกันเป็นสายโซ่ยาวที่ตำแหน่ง 1,3 และ 1,6 เช่น เบต้า ดี กลูแคน (beta-d-glucans) ได้มีการทดสอบทางการแพทย์ในประเทศจีน และ ญี่ปุ่น ในโรงพยาบาลหลายแห่งค้นพบ ว่าการให้คนไข้ที่เป็นมะเร็งปอดกินถั่งเช่า 6 ก./วัน ควบคู่กับการทำ คีโม ผลปรากฏว่าขนาดของเนื้องอกลดลง 46% ในคนไข้ 50 คนที่ทดลอง (Wang et al 2001) การทดลองให้ผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกชนิดอื่นๆ รับประทานถั่งเช่า 6 ก./วัน เป็นเวลา 2 เดือน ทำให้ผู้ป่วยส่วนมากมีอาการดีขึ้น เมื่อเช็คเม็ดเลือดขาวพบว่าผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวมากขึ้น และขนาดของเนื้องอกลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ทดลอง (Zhou et al 1998)
ในความเป็นจริงแล้ว ความรู้ที่ว่า
ถั่งเช่า มีความสามารถในการต้านทานโรคมะเร็งนั้นเป็นที่เข้าใจกันในประเทศทางตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน เพราะมีการทดสอบ กันอย่างแพร่หลายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันอันเป็นทางเลือกในการรักษา เพราะมีสาร โพลีแซคคาไรด์ ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นนี้ สามารถลดความรุนแรง กับ ลดเวลาที่เกิดผลข้างเคียงอันเกิดจากการรักษาทางเคมีหรือฉายรังสี (Wang et al 2001) (Xu et al 1988)ถั่งเช่า
นอกจากความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันจากสสารโพลีแซคคาไรด์ แล้ว ยังมีการออกฤทธิ์ในการต้านมะเร็งจากสารคอร์ไดซิพิน (3’deoxyadenosine) ซึ่งโมเลกุลของสารนี้เกือบจะเหมือนกับสสารอะดีโนซีน (adenosine) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ ดีเอ็นเอ (DNA) แต่ต่างกันที่คอร์ไดซิพินไม่มีอะตอมของออกซิเจนบนตำแหน่งที่ 3 ของน้ำตาลไรโบส การขาดออกซิเจนตรงจุดนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหากคอร์ไดซิพิน เข้าแทนที่ อะดีโนซีนในดีเอ็นเอ การขาดออกซิเจนไปหนึ่งตัว จะทำให้การจำลองดีเอ็นเอติดขัด ลง การแยกแยะเซลล์จึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ การแบ่งเซลล์หากเกิดในเซลล์ปกติ เซลล์ปกติของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสามารถที่จะซ่อมแซมปัญหานี้ได้ แต่มิใช่เซลล์มะเร็ง เนื่องจากเซลล์มะเร็งไม่มีประสิทธิภาพในด้านนี้
ถั่งเช่าช่วยข้อจำกัดของการบำบัดทางเคมี/ฉายแสง ได้อย่างไร
กลไกการออกฤทธิ์ของสารคอร์ไดซิพิน (Cordycepin)